วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

การจัดการสวนยางพารา

การจัดการสวนยางพารา

Rubber-plantationเมื่อได้ทำการปลูกยางพาราด้วยพันธุ์ยางที่เหมาะสมกับสภาวะอากาศในท้องถิ่น นั้น ๆ, ในทำเลที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของต้นยางพาราแล้ว ขั้นตอนต่อไป ก็จะเป็นการบำรุง ดูแล หรือจัดการให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตอย่างงดงาม ซึ่งงานหลัก ๆ ก็จะเป็นการควบคุม, กำจัดวัชพืช, การใส่ปุ๋ยบำรุง, การตัดแต่งกิ่ง และการระวังป้องกันเรื่องโรคและแมลงศัตรูยาง จนสวนยางได้ขนาดเปิดกรีดเพื่อเอาผลผลิตคือน้ำยางภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไป ก็จะประมาณ  6 ปี ถึง 6 ปีครึ่ง เมื่อสวนยางให้ผลผลิตแล้ว เราจะจัดการอย่างไรให้สามารถกรีดยางได้นานที่สุด, ได้น้ำยางมากที่สุด โดยมีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนต่ำสุด

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต 

เมื่อเริ่มปลูกยางพารา-1 ปี


การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระยะ 1 ปีแรกหลังจากปลูก ซึ่งสิ่งที่ต้องดูแลเป็นอันดับแรกก็คือการจัดการทุกอย่างเพื่อให้ต้นยางพารา อยู่รอด หรือให้ตายน้อยที่สุด และควรรีบทำการปลูกซ่อมทันทีที่ทำได้, กำจัดวัชพืช, ใส่ปุ๋ย, หากไม่ปลูกพืชคลุมก็ควรทำการปลูกพืชแซมยาง, ดูแลและตัดแต่งกิ่งต้นยางก่อนเข้าหน้าแล้ง และเพื่อรักษาความชื้นในดินเมื่อเข้าสู่หน้าแล้ง ก็ควรคลุมโคนต้นยาง หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ เมื่อต้นยางพาราอายุได้ 1 ปีเต็ม ต้นที่สมบูรณ์ก็จะมีขนาดความสูงไม่ต่ำกว่า 1 เมตร
  1. หลังจากปลูกแล้ว หากฝนไม่ตกหรือทิ้งช่วงนาน ก็ควรให้น้ำบ้างเท่าที่สามารถจะให้ได้
  2. เมือฝนมาครั้งแรก ต้องสำรวจดูว่า ดินในหลุมใดยุบบ้าง ให้กลบดินเพิ่ม หากไม่กลบเมื่อฝนมาครั้งที่สอง ก็จะทำให้น้ำขังบริเวณโคนต้นซึ่งจะทำให้ต้นยางพาราตายได้
  3. หลังจากฝนครั้งแรกมาแล้ว ทิ้งช่วงนาน ฝนครั้งที่สองก็ยังไม่มาไม่มา ชาวสวนยางพาราก็ต้องมาสำรวจดูว่ามีหลุมใดบ้างที่ดินรอบ ๆ ต้นยางแตกหรือแยกเป็นวง ๆ ก็ให้กลบดินเพิ่มเติมเพื่อป้องกันความชื้นระเหยออกจากหลุม ซึ่งก็อาจทำให้ต้นยางพาราเฉาหรือตายได้เช่นกัน
  4. คอยหมั่นดูแล หากพบต้นยางพาราตายต้องรีบปลูกซ่อมด้วยยางชำถุง 2 ฉัตร แต่ถ้าสวนยางมีอายุมากกว่า 2 ปีไปแล้ว ไม่ควรปลูกซ่อม แต่ถ้าต้องการปลูกซ่อมจริง ๆ ก็อาจทำได้โดยใช้ต้นยางพาราที่มีขนาดใก้ลเคียงกัน การปลูกซ่อมต้องกระทำก่อนฝนจะหมดไม่น้อยกว่า 2 เดือน
  5. ควรปลูกพืชแซมระหว่าง แถวต้นยางพาราเพื่อให้มีรายได้เสริมและเพื่อเป็นการคลุมดินไม่ให้มีวัชพืช โดยเฉพาะหญ้าคา หากปล่อยให้พื้นดินได้รับแสงแดด จะมีปัญหาในเรื่องหญ้าคาอย่างแน่นอน
  6. หากไม่ปลูกพืชแซม ก็ต้องปลูกพืชคลุมดิน เพื่อคลุมวัชพืช และยังเป็นการสร้างหรือใส่ปุ๋ยลงในดินโดยไม่ต้องขนปุ๋ย ไม่ต้องหว่านปุ๋ย พืชคลุมจะทำให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตได้ดี
  7. หากต้องการปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้ป่าร่วมยาง ก็สามารถปลูกได้ ไม่เกิน 15 ต้น/ไร่ ตามระเบียบสำนักงานกองทุนสงเคราห์การทำสวนยาง(หากท่านขอรับทุนฯ)
  8. กรณีปลูกด้วยยางชำถุง เมื่อต้นยางอายุครบ 1, 4 และ 6 เดือน ให้กำจัดวัชพืชโดยการถาก แล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็ก สูตร 20-8-20 หรือสูตรอื่น เช่น 20-10-5 หรือ 18-4-5 หรือ 19-6-5 หรือ 25-7-7 ตามอัตรา
  9. สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ซึ่งปลูกยางชำถุงอย่างเดียว เมื่อต้นยางอายุครบ 1 และ 6 เดือน ให้กำจัดวัชพืชโดยการถากแล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็กสูตร 20-10-12 ตามอัตรา โดยไม่แยกชนิดของดิน และในปีแรกนี้ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น/ปี (อาจใส่เมื่อต้นยางอายุครบ 6 เดือน)
  10. วิธีการใส่ปุ๋ย ไม่ว่าจะเป็นที่ราบ, ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันไดหรือที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยโดยโรยรอบโคนต้นในรัศมีพุ่มใบพร้อมพรวนดินกลบ หากสามารถทำได้ให้ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี หรืออาจใช้เหล็กหุนแทงลงไปในดินให้ลึกพอเหมาะ จำนวน 4 หลุม หยอดปุ๋ยลงไปแล้วกลบก็ได้เช่นกัน
  11. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  12. เมื่อต้นยางพาราอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ควรทำการตัดแต่งกิ่ง เมื่อมีการแตกกิ่งด้านข้างลำต้น ให้ใช้มีดหรือคัดเตอร์ค่อย ๆ ตัดออก ระวังอย่าให้โดนก้านใบ
  13. เมื่อสวนยางพาราเข้าสู่หน้าแล้ง ควรคลุมโคนต้นยางด้วยฟางข้าวหรือเศษวัสดุทางการเกษตรที่หาง่ายในท้องถิ่น โดยเว้นระยะจากโคนต้นยางไว้ 5-10 ซม. หากจะคลุมทั้งแถวเลยโดยคลุมเป็นแถบกว้างข้างละ 1 เมตรจากแนวต้นยาง ก็จะรักษาความชื้นในดินได้ดีกว่าคลุมเฉพาะโคนต้น แต่ต้องระวังเรื่องไฟไห้มที่อาจมาจากสาเหตุต่าง ๆ  เช่น การทิ้งก้นบุหรี่ หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ 

เมื่อยางพาราอายุ 1-2 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราเมื่อมีอายุ 1-2 ซึ่งสิ่งที่ยังมีสำคัญมากก็คือ เมื่อต้นยางตายก็ควรรีบทำการปลูกซ่อมทันทีที่ทำได้, กำจัดวัชพืช, ใส่ปุ๋ยบำรุง, หากไม่ปลูกพืชคลุมก็ควรทำการปลูกพืชแซมยาง, ดูแลและตัดแต่งกิ่งต้นยางก่อนเข้าหน้าแล้ง และเพื่อรักษาความชื้นในดินเมื่อเข้าสู่หน้าแล้ง ก็ควรคลุมโคนต้นยาง หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่าน วัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ เมื่อต้นยางพาราอายุได้ 2 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 12-16 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)
  1. คอยหมั่นดูแล หากพบต้นยางพาราตายต้องรีบปลูกซ่อมด้วยยางชำถุง 2 ฉัตร แต่ถ้าสวนยางพารามีอายุมากกว่า 2 ปีไปแล้ว ไม่ควรปลูกซ่อม แต่ถ้าต้องการปลูกซ่อมจริง ๆ ก็อาจทำได้โดยใช้ต้นยางพาราที่มีขนาดใก้ลเคียสวนยางอายุ 2 ปี ปลูกกล้วย(น้ำหว้า)เป็นพืชแซม ส่งผลให้ต้นยางโตเร็วงกัน การปลูกซ่อมต้องกระทำก่อนฝนจะหมดไม่น้อยกว่า 2 เดือน
  2. ควรปลูกพืชแซมระหว่าง แถวต้นยางพาราเพื่อให้มีรายได้เสริมและเพื่อเป็นการคลุมดินไม่ให้มีวัชพืช โดยเฉพาะหน้าคา หากปล่อยให้พื้นดินได้รับแสงแดด จะมีปัญหาในเรื่องหญ้าคาอย่างแน่นอน
  3. หากไม่ปลูกพืชแซม ก็ต้องปลูกพืชคลุมดิน เพื่อคลุมวัชพืช และยังเป็นการสร้างหรือใส่ปุ๋ยลงในดินโดยไม่ต้องขนปุ๋ย ไม่ต้องหว่านปุ๋ย พืชคลุมจะทำให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
  4. หากต้องการปลูกไม้ป่าร่วมยาง ก็สามารถปลูกได้ ไม่เกิน 15 ต้น/ไร่ ตามระเบียบสำนักงานกองทุนสงเคราห์การทำสวนยาง(หากท่านขอรับทุนฯ)
  5. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 12, 15 และ 18 เดือน ให้กำจัดวัชพืชโดยการถาก แล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็กสูตร 20-8-20 หรือสูตรใก้ลเคียง เช่น 20-10-5 หรือ 18-4-5 หรือ 19-6-5 หรือ 25-7-7 ตามอัตรา  สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ให้ใช้สูตร 20-10-12 ตามอัตรา (โดยไม่แยกชนิดของดิน)
  6. สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  7. วิธีการใส่ปุ๋ย ไม่ว่าจะเป็นที่ราบ, ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันไดหรือที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยโดยโรยรอบโคนต้นในรัศมีพุ่มใบพร้อมพรวนดิน
  8. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  9. ควรทำการตัดแต่งกิ่งเพื่อ ให้ได้ทรงพุ่มที่ดี เพื่อให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตเร็ว และได้ไม้ที่มีขนาดความยาวตามที่โรงเลื่อยไม้ต้องการ ขนาด 2.4 เมตร การตัดแต่งกิ่งควรทำก่อนที่จะหมดฝน ไม่ควรตัดแต่งกิ่งในหน้าแล้ง
  10. เมื่อสวนยางพาราเข้าหน้าแล้ง ควรคลุมโคนต้นยางด้วยฟางข้าวหรือเศษวัสดุทางการเกษตรที่หาง่ายในท้องถิ่น โดยเว้นระยะจากโคนต้นยางไว้ 5-10 ซม. หากจะคลุมทังแถวเลยโดยคลุมเป็นแถบกว้างข้างละ 1 เมตรจากแนวต้นยาง ก็จะรักษาความชื้นในดินได้ดีกว่าคลุมเฉพาะโคนต้น แต่ต้องระวังเรื่องไฟไห้มที่อาจมาจากสาเหตุต่าง ๆ  เช่น การทิ้งก้นบุหรี่ หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ

เมื่อยางพาราอายุ 2-3 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระยะ 2-3 ปี ขนาดการเจริญเติบโตของต้นยางเมื่ออายุครบ 3 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 21-27 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)
  1. เมื่อสวนยางพาราที่มีอายุมากกว่า 2 ปีไปแล้ว ไม่ควรปลูกซ่อม แต่ถ้าต้องการปลูกซ่อมจริง ๆ การปลูกพืชแซมด้วยสัปรดก่อให้เกิดรายได้งดงาม และทำให้ต้นยางเจริญเติบโตดีเนื่องจากได้รับปุ๋ยจากการใส่ให้สัปรดด้วยก็อาจทำได้โดยใช้ต้นยางพาราที่มีขนาดใก้ลเคียงกัน การปลูกซ่อมต้องกระทำก่อนฝนจะหมดไม่น้อยกว่า 2 เดือน
  2. ควรปลูกพืชแซมระหว่าง แถวต้นยางพาราเพื่อให้มีรายได้เสริมและเพื่อเป็นการคลุมดินไม่ให้มีวัชพืช โดยเฉพาะหญ้าคา หากปล่อยให้พื้นดินได้รับแสงแดด จะมีปัญหาในเรื่องหญ้าคาอย่างแน่นอน
  3. หากไม่ปลูกพืชแซม ก็ต้องปลูกพืชคลุมดิน เพื่อคลุมวัชพืช และยังเป็นการสร้างหรือใส่ปุ๋ยลงในดินโดยไม่ต้องขนปุ๋ย ไม่ต้องหว่านปุ๋ย พืชคลุมจะทำให้ต้นยางเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
  4. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 24 และ 30 เดือน ให้กำจัดวัชพืชด้วยการถาก, ไถ หรือพ่นด้วยสารเคมี(ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ) แล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็ก สูตร 20-8-20การไถสวนทำได้สำหรับสวนก่อนเปิดกรีด ถ้าเปิดกรีดแล้วไม่ควรไถ หรือสูตรใก้ลเคียง เช่น 20-10-5 หรือ 18-4-5 หรือ 19-6-5 หรือ 25-7-7 สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 20-10-12 ตามอัตรา
  5. สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  6. วิธีการใส่ปุ๋ย
    • ที่ราบ ควรใส่เป็นแถบซึ่งควรอยู่ตรงแนวทรงพุ่มต้นยางทั้ง 2 ด้าน โดยขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ
    • ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันได ควรใส่เป็นหลุมแล้วกลบ โดยขุดหลุมลึก 5-10 ซม.ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
    • ที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ควรขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ หรือใส่เป็นหลุม ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
  7. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  8. ควรทำการตัดแต่งกิ่งต้น ยางพาราเพื่อให้ได้ทรงพุ่มที่ดี เพื่อให้ต้นยางเจริญเติบโตเร็ว และได้ไม้ที่มีขนาดความยาวของเปลาตามที่โรงเลื่อยไม้ต้องการ คือเปลายาว 2.4 เมตร ฉะนัน กิ่งที่อยู่ในระดับต่ำกว่านี้จะต้องตัดออกให้หมด การตัดแต่งกิ่งควรทำก่อนที่จะหมดฝน ไม่ควรตัดแต่งกิ่งในหน้าแล้ง
  9. เมื่อสวนยางพาราเข้าสู่หน้าแล้ง ควรคลุมโคนต้นยางพาราด้วยฟางข้าวหรือเศษวัสดุทางการเกษตรที่หาง่ายในท้อง ถิ่น โดยเว้นระยะจากโคนต้นยางไว้ 5-10 ซม. หากจะคลุมทั้งแถวเลยโดยคลุมเป็นแถบกว้างข้างละ 1 เมตรจากแนวต้นยาง ก็จะรักษาความชื้นในดินได้ดีกว่าคลุมเฉพาะโคนต้น แต่ต้องระวังเรื่องไฟไห้มที่อาจมาจากสาเหตุต่าง ๆ  เช่น การทิ้งก้นบุหรี่ หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ
  10. ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด เช่น ในเขตปลูกยางพาราใหม่ เมื่อสวนยางพาราเข้าหน้าแล้ง ให้ป้องกันเปลือกหรือลำต้นยางเป็นรอยไหม้จากการถูกแสงแดดเผา ด้วยการใช้ปูนขาว 1 ส่วน ผสมน้ำ 2 ส่วน แช่หรือหมักค้างคืนไว้ 1 คืน แล้วนำมาทาลำต้นยางตั้งแต่โคนต้น ไปจนถึงที่ความสูง 1.0-1.5 เมตร โดยทาเฉาะลำต้นส่วนที่เป็นสีน้ำตาล ไม่ต้องทาลำต้นที่เป็นสีเขียว 

เมื่อยางพาราอายุ 3-4 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระหว่างปีที่ 3-4  เมื่อต้นยางพาราอายุได้ 4 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 29-37 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)

  1. หากต้องปลูกพืชคลุมดิน ก็สามารถทำได้แต่ต้องเป็นพืชคลุมชนิดซีลูเรียม ซึ่งมีความทนทานต่อสภาพร่มเงาได้ดี
  2. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 36 และ 42 เดือน ให้กำจัดวัชพืชด้วยการถาก, ไถ หรือพ่นด้วยสารเคมี(ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ) แล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็ก สูตร 20-8-20 หรือสูตรใก้ลเคียง เช่น 20-10-5 หรือ 18-4-5 หรือ 19-6-5 หรือ 25-7-7 สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 20-10-12 ตามอัตรา
  3. สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  4. วิธีการใส่ปุ๋ย
    • ที่ราบ ควรใส่เป็นแถบซึ่งควรอยู่ตรงแนวทรงพุ่มต้นยางทั้ง 2 ด้าน โดยขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ
    • ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันได ควรใส่เป็นหลุมแล้วกลบ โดยขุดหลุมลึก 5-10 ซม.ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
    • ที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ควรขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ หรือใส่เป็นหลุม ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
  5. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  6. ควรทำการตัดแต่งกิ่งเพื่อ ให้ได้ทรงพุ่มที่ดี เพื่อให้ต้นยางเจริญเติบโตเร็ว และได้ไม้ที่มีขนาดความยาวของเปลาตามที่โรงเลื่อยไม้ต้องการ คือเปลายาว 2.4 เมตร ฉะนัน กิ่งที่อยู่ในระดับต่ำกว่านี้จะต้องตัดออกให้หมด การตัดแต่งกิ่งควรทำก่อนที่จะหมดฝน ไม่ควรตัดแต่งกิ่งในหน้าแล้ง
  7. เมื่อต้นยางพาราอายุมากกว่านี้ จะต้องกำจัดพืชแซมระหว่างแซมยางออกให้หมด
  8. ก่อนเข้าหน้าแล้ง ควรทำทางป้องกันไฟ โดยเฉพาะสวนยางพาราที่อยู่ใก้ล ๆ กับสวนยางที่กำลังโค่นใหม่(ที่อาจจะทำการเผาปรนเศษกิ่งและรากไม้)
  9. เมื่อสวนยางพาราเข้าสู่หน้าแล้ง ควรคลุมโคนต้นยางพาราด้วยฟางข้าวหรือเศษวัสดุทางการเกษตรที่หาง่ายในท้อง ถิ่น โดยเว้นระยะจากโคนต้นยางไว้ 5-10 ซม. หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ
  10. ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด เช่น ในเขตปลูกยางพาราใหม่ เมื่อสวนยางพาราเข้าหน้าแล้ง ให้ป้องกันเปลือกหรือลำต้นยางเป็นรอยไหม้จากการถูกแสงแดดเผา ด้วยการใช้ปูนขาว 1 ส่วน ผสมน้ำ 2 ส่วน แช่หรือหมักค้างคืนไว้ 1 คืน แล้วนำมาทาลำต้นยางตั้งแต่โคนต้น ไปจนถึงที่ความสูง 1.0-1.5 เมตร โดยทาเฉาะลำต้นส่วนที่เป็นสีน้ำตาล ไม่ต้องทาลำต้นที่เป็นสีเขียว

เมื่อยางพาราอายุ 4-5 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระหว่างปีที่ 4-5 เมื่อต้นยางพาราอายุได้ 5 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 36-46 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)
  1. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 48 และ 54 เดือน ให้กำจัดวัชพืชในแถวต้นยางด้วยการหวดหรือตัดชิดดิน, ถาก หรือพ่นด้วยสารเคมี(ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ) ในระหว่างแถวต้นยาง ควรหวดหรือตัดชิดดิน, ไถ หรือพ่นด้วยสารเคมี 
  2. ทำการใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางใหญ่ เช่น สูตร 20-8-20 สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 20-10-12 ตามอัตรา หรืออาจใส่มากกว่าที่กำหนดก็ได้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาในหลาย ๆ ด้าน เช่น สภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน, ภาวะทางเศรษฐกิจของเจ้าของสวนยาง เป็นนต้น
  3. สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  4. วิธีการใส่ปุ๋ย
    • ที่ราบ ควรใส่เป็นแถบซึ่งควรอยู่ตรงแนวทรงพุ่มต้นยางทั้ง 2 ด้าน โดยขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ
    • ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันได ควรใส่เป็นหลุมแล้วกลบ โดยขุดหลุมลึก 5-10 ซม.ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
    • ที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ควรขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ หรือใส่เป็นหลุม ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
  5. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  6. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 48 เดือน ต้องกำจัดพืชแซมระหว่างแซมยางออกให้หมด
  7. ก่อนเข้าหน้าแล้ง ควรทำทางป้องกันไฟ โดยเฉพาะสวนยางพาราที่อยู่ใก้ล ๆ กับสวนยางที่กำลังโค่นใหม่ซึ่งอาจะมีการเผาปรนเศษกิ่งและรากไม้

เมื่อยางพาราอายุ 5-6 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระหว่างปีที่ 5-6 เมื่อต้นยางพาราอายุ ได้ 6 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 43-52 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)
  1. ต้นยางพารา 5 ปีครึ่ง พ้นสงเคราะห์ มีขนาดเส้นรอบต้นโดยเฉลี่ย 46 ซม.เมื่อ ต้นยางพาราอายุครบ 60 และ 66 เดือน ให้กำจัดวัชพืชในแถวต้นยางด้วยการหวดหรือตัดชิดดิน, ถาก หรือพ่นด้วยสารเคมี(ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ) ในระหว่างแถวต้นยาง ควรหวดหรือตัดชิดดิน, ไถ หรือพ่นด้วยสารเคมี
  2. ทำการใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางใหญ่ เช่น สูตร 20-8-20  สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 20-10-12 ตามอัตรา หรือ อาจใส่มากกว่าที่กำหนดก็ได้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาในหลาย ๆ ด้าน เช่น สภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน, ภาวะทางเศรษฐกิจของเจ้าของสวนยาง เป็นนต้น
  3. สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  4. วิธีการใส่ปุ๋ย
    • ที่ราบ ควรใส่เป็นแถบซึ่งควรอยู่ตรงแนวทรงพุ่มต้นยางทั้ง 2 ด้าน โดยขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ
    • ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันได ควรใส่เป็นหลุมแล้วกลบ โดยขุดหลุมลึก 5-10 ซม.ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
    • ที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ควรขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ หรือใส่เป็นหลุม ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
  5. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  6. หมั่นสังเกตสีของใบยางในกรณีที่อาจมีโรครากเข้าทำลาย
  7. ก่อนเข้าหน้าแล้ง ควรทำทางป้องกันไฟ โดยเฉพาะสวนยางที่อยู่ใก้ล ๆ กับสวนยางที่กำลังโค่นใหม่ซึ่งต้องทำการเผาปรนเศษกิ่งและรากไม้

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในสวนยางพาราระยะก่อนให้ผลผลิต


ปุ๋ยอินทรีย์ทำให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตเร็วเมื่อ คุณภาพดินใก้ลมาถึงทางตัน  หรือมีการใช้แต่เฉพาะปุ๋ยเคมีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนดินสูญเสียคุณสมบัติทางชีวะ, เคมี และฟิสิกส์  สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำสำหรับเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นชาวสวนยางพาราหรือเกษตก รผู้ปลูกพืชอื่น คือการหันกลับมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือใช้ธรรมชาติฟื้นฟูธรรมชาติ นั่นเอง ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุต่ำ เช่นดินในเขตปลูกยางพาราใหม่อย่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถาบันวิจัยยางได้แนะนำให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพเพื่อเพิ่ม อินทรีย์วัตถุในดิน, ช่วยให้ดินอุ้มความชื้นได้มากขึ้น, ปรับปรุงโครงสร้างของดิน และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งจะมีผลให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตเร็วขึ้น กว่าไม่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์
เริ่มจากในขั้นตอนการขุดหลุม-กลบดินลงหลุม นอกจากจะคลุกเคล้าปุ๋ยหินฟอสเฟต 170 กรัม/หลุม กับดินชั้นล่างแล้ว ชาวสวนยางพาราควรผสมปุ๋ยอินทรีย์ในอัตร 5 กิโลกรัม/หลุม ลงไปด้วย  หลังจากปลูกยางพาราแล้ว ก็ควรหาช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ ปีละ 1 ครั้ง โดยในปีแรกเมื่อต้นยางพาราอายุได้ 6 เดือน ก็ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ อัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น  และเมื่อต้นยางพารามีอายุย่างเข้าปีที่ 2,3,4,5 และปีที่ 6 ควรใส่ปุ๋ยปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ  อัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี (สามารถใส่ได้มากกว่านี้แต่ควรคำนึงถึงต้นทุนด้วย)
หลักการใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ  ควรใส่ให้ปุ๋ยสัมผัสกับดิน(กระจาย)มากที่สุดเพื่อให้ปุ๋ยอินทรีย์หรือ อินทรีย์ชีวภาพมีโอกาสได้ปรับปรุงดินอย่างทั่วถึง หลังจากใส่ปุ๋ยอินทรีย์แล้ว 15-20 วัน เมื่อดินเริ่มร่วนซุย จึงตามด้วยปุ๋ยเคมีตามอัตราแนะนำ หากทำได้ตามขั้นตอนที่กล่าว(อาจเหนื่อยและใช้เวลาหน่อยน่ะ)ก็จะได้ผลต่อดิน และต่อคนอย่างคุ้มค่า
สำหรับเกษตรกรชาวสวนยางพาราในภาคใต้ แม้ว่าจะโชคดีที่พื้นที่ปลูกยางพาราเป็นดินที่มีอินทรีย์วัตถุมากกว่าทางภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ก็ยังมีพื้นที่บางส่วน บางแปลงที่มีอินทรีย์วัตถุน้อย หรือที่ดินบางแปลงที่กำลังปลูกยางพาราเป็นที่ดินที่ปลูกยางเป็นรอบที่ 2 หรือรอบที่ 3 แล้ว ดังนั้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ ก็จะช่วยให้ดินดีขึ้น ส่งผลต่อต้นยางพาราทำให้เจริญเติบโตดีกว่า การใช้แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว อย่างแน่นอน
เพื่อเป็นการลดต้นทุนและให้ได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีอินทรีย์วัตถุจริง ชาวสวนยางพาราควรผลิตปุ๋ยอินทรีย์(ชีวภาพ)เพื่อใช้เอง
 ที่มา:http://www.live-rubber.com/index.php/rubber-plantation-management/immature-rubber-stage/24-5-6-years-old


 

 

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ

น้ำหมักชีวภาพ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สสส.

          ช่วง นี้เราอาจจะได้ยินชื่อ "น้ำหมักชีวภาพ" บ่อยขึ้น ว่าแต่เพื่อน ๆ รู้จักไหมว่า จริง ๆ แล้ว "น้ำหมักชีวภาพ" คืออะไร บริโภคได้หรือไม่ แล้วเราจะทำน้ำหมักชีวภาพขึ้นมาใช้เองได้อย่างไร เอ้า...ตามมาดูกันเลย

          น้ำ หมักชีวภาพ หรือ น้ำสกัดชีวภาพ หรือ ปุ๋ยน้ำจุลินทรีย์ ตามแต่จะเรียก เป็นสารละลายเข้มข้นที่ได้จากการหมักเศษพืช หรือสัตว์ กับสารที่ให้ความหวาน จนถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการแล้วจะได้สารละลายเข้มข้นสีน้ำตาล ประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ และสารอินทรีย์หลายชนิด

          เดิมทีนั้นจุดประสงค์ของการคิดค้น "น้ำหมักชีวภาพ" ขึ้นมา เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตรโดยเฉพาะ แต่ช่วงหลังก็มีการนำน้ำหมักชีวภาพ มาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านอื่นเช่นกัน คือ

          ด้านการเกษตร น้ำ หมักชีวภาพ มีธาตุอาหารสำคัญ ทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม กำมะถัน ฯลฯ จึงสามารถนำไปเป็นปุ๋ย เร่งอัตราการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มคุณภาพของผลผลิตให้ดีขึ้น และยังสามารถใช้ไล่แมลงศัตรูพืชได้ด้วย

          ด้านปศุสัตว์ สามารถช่วยกำจัดกลิ่นเหม็น น้ำเสียจากฟาร์มสัตว์ได้ ช่วยป้องกันโรคระบาดต่าง ๆ ในสัตว์แทนการให้ยาปฏิชีวนะ ทำให้สัตว์แข็งแรง มีความต้านทานโรค ช่วยกำจัดแมลงวัน ฯลฯ

          ด้านการประมง ช่วยควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ช่วยแก้ปัญหาโรคพยาธิในน้ำ  ช่วยรักษาโรคแผลต่าง ๆ ในปลา กบ จระเข้ได้ ช่วยลดปริมาณขี้เลนในบ่อ ช่วยให้เลนไม่เน่าเหม็น สามารถนำไปผสมเป็นปุ๋ยหมักใช้กับพืชต่าง ๆ ได้ดี

          ด้านสิ่งแวดล้อม น้ำ หมักชีวภาพ สามารถช่วยบำบัดน้ำเสียจากการเกษตร ปศุสัตว์ การประมง โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน และสถานประกอบการทั่วไป แถมยังช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากกองขยะ การเลี้ยงสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสภาพอากาศที่เสียให้สดชื่น และมีสภาพดีขึ้น

         ประโยชน์ในครัวเรือน เราสามารถนำน้ำหมักชีวภาพ มาใช้ในการซักล้างทำความสะอาด แทนสบู่ ผงซักฟอก แชมพู น้ำยาล้างจาน รวมทั้งใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ ฯลฯ ได้ด้วย

          เห็น ประโยชน์ใช้สอยของ น้ำหมักชีวภาพ มากมายขนาดนี้ ชักอยากลองทำน้ำหมักชีวภาพดูเองแล้วใช่ไหมล่ะ จริง ๆ แล้ว น้ำหมักชีวภาพ มีหลายสูตรตามแต่ที่ผู้คิดค้นขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ กัน วันนี้เราก็มี วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ แบบง่าย ๆ มาฝากกันด้วย

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการเกษตร

          เราสามารถเลือกส่วนผสมจาก พืช ผลไม้สุก หรือสัตว์ อย่างหอยเชอรี่ ในการทำน้ำหมักชีวภาพ ได้

          ส่วนผสม : เราสามารถเลือกส่วนผสมจาก พืช ผลไม้สุก หรือสัตว์ อย่างหอยเชอรี่ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในการทำน้ำหมักชีวภาพ โดยสับเป็นชิ้นเล็ก 3 ส่วน, กากน้ำตาล 1 ส่วน (อาจใช้น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลทรายขาว ผสมน้ำมะพร้าว 1 ส่วนแทนได้) น้ำเปล่า 10 ส่วน

          วิธีทำ : นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้ากัน แล้วบรรจุลงในถังหมักพลาสติก หรือขวดปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่ม นานประมาณ 3 เดือน แล้วจึงสามารถนำไปใส่เป็นปุ๋ยให้พืชผักผลไม้ได้ โดย

          ใช้น้ำหมักชีวภาพ อัตราส่วน 10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อบำรุงใบพืชผักผลไม้

          ใช้น้ำหมักชีวภาพอัตราส่วน 15-20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ให้ดินร่วนซุย

          ใช้น้ำหมักชีวภาพ อัตราส่วน 1 ส่วน น้ำ 1 ส่วน เพื่อกำจัดวัชพืช

          ทั้งนี้ มีเทคนิคแนะนำว่า หากต้องการบำรุงส่วนใบพืช ก็ให้ใช้ส่วนใบยอดพืชมาหมัก หากต้องการบำรุงผล ให้ใช้ส่วนผล เช่น กล้วยน้ำว้าสุก มะละกอสุก เปลือกสับปะรด ฟักทองมาหมัก หรือหากต้องการใช้กำจัดศัตรูพืข ควรหมักสะเดา ตะไคร้หอม ข่า แยกต่างหากด้วย เมื่อจะใช้ก็นำมาผสมฉีดพ่นพืชผักผลไม้

          นอกจากนี้ หากใช้สายยางดูดเฉพาะน้ำใส ๆ จากน้ำหมักชีวภาพที่หมักได้ 3 เดือนแล้วออกมา จะเรียกส่วนนี้ว่า "หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพ" เมื่อ นำไปผสมอีกครั้ง แล้วหมักไว้ 2 เดือน จะได้หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพอายุ 5 เดือน ซึ่งหากขยายต่ออายุทุก ๆ 2 เดือน จะได้หัวเชื้อที่อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ และประสิทธิภาพสูงมากขึ้น

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการซักล้าง

          น้ำหมักชีวภาพ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการซักล้างได้ โดยมีสูตรให้นำผลไม้ เปลือกผลไม้ (ฝักส้มป่อย , มะคำดีควาย , มะนาว ฯลฯ) 3 ส่วน น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลอ้อย 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน ใส่รวมกันในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท โดยให้เหลือช่องว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง แล้วหมั่นเปิดฝาคลายแก๊สออก โดยต้องวางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด หมักไว้นาน 3 เดือน ก็จะได้น้ำหมักชีวภาพ สำหรับซักผ้า หรือล้างจานได้ ซึ่งสูตรนี้แม้ว่าผ้าจะมีราขึ้น หากนำผ้าไปแช่ทิ้งไว้ในน้ำหมักชีวภาพก็จะสามารถซักออกได้



น้ำหมักชีวภาพ

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ


วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อดับกลิ่น

          สูตรหนึ่งของการทำน้ำหมักชีวภาพมาดับกลิ่น คือ ใช้เศษอาหาร พืชผัก ผลไม้ที่เหลือทิ้ง 3 ส่วน กากน้ำตาลหรือโมลาส 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน  ใส่รวมกันในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท โดยให้เหลือช่องว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง หมักไว้นาน 3 เดือน ก็จะได้น้ำหมักชีวภาพใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ กลิ่นปัสสาวะสุนัข ฯลฯ ได้อย่างดี

ข้อควรระวังในการใช้ น้ำหมักชีวภาพ

          1. หากใช้น้ำหมักชีวภาพกับพืช ต้องใช้ปริมาณเจือจาง เพราะหากความเข้มข้นสูงเกินไป อาจทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต และตายได้

          2. ระหว่างหมัก จะเกิดก๊าซต่าง ๆ ในภาชนะ ดังนั้นต้องหมั่นเปิดฝาออก เพื่อระบายแก๊ส แล้วปิดฝากลับให้สนิททันที

          3. หากใช้น้ำประปาในการหมัก ต้องต้มให้สุก เพื่อไล่คลอรีนออกไปก่อน เพราะคลอรีนอาจเป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก

          4. พืชบางชนิด เช่น เปลือกส้ม ไม่เหมาะในการทำน้ำหมักชีวภาพ เพราะน้ำมันที่เคลือบผิวเปลือกส้มเป็นพิษต่อจุลินทรีย์

น้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค

          เรา อาจเคยได้ยินข่าวว่า มีคนนำน้ำหมักชีวภาพมาใช้บริโภคกันด้วย ซึ่งน้ำหมักชีวภาพที่ใช้ในการบริโภค หรือ เอนไซม์ เป็นสารโปรตีน วิตามินเอ บี ซี ดี อี เค อะมิโนแอซิค(Amino acid) และ อะเซทิลโคเอ (Acetyl Coa) ที่ได้จาก หมักผลไม้นานาชนิด เมื่อหมักระยะเริ่มแรกจะเป็นแอลกอฮอล์ ระยะต่อมา เป็นน้ำส้มสายชู ซึ่งมีรสเปรี้ยว อีกระยะหนึ่งเป็นยาธาตุ มีรสขม ก่อนจะได้เป็นน้ำหมักชีวภาพ (เอ็นไซม์) ซึ่งใช้เวลาหมักขยายประมาณ 2 ปี แต่หากจะนำไปดื่มกินควรผ่านการหมักขยายเป็นเวลา 6 ปีขึ้นไป

          โดยประโยชน์จากน้ำหมักชีวภาพนั้น หากมีการนวัตกรรมการผลิตที่ดีจะส่งผลดีต่อสุขภาพของระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ทำให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น และช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ แต่น้ำหมักชีวภาพ ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด มักเป็นน้ำหมักชีวภาพที่อยู่ในสภาพเป็นแอลกอฮอล์ ดังนั้นเมื่อดื่มกินแล้วอาจมีอาการร้อนวูบวาบ มึนงง และอาจทำให้ฟันผุกร่อนได้ เพราะน้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) มีสภาพเป็นกรดสูง ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มน้ำหมักชีวภาพแบบเข้มข้น

          อย่างไรก็ตาม การทำน้ำหมักชีวภาพ ที่ใช้บริโภคนั้น ยังขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ หากดื่มกินเข้าไปก็เสี่ยงต่ออันตรายได้ โดยเฉพาะมีข้อมูลจาก สวทช. ร่วมกับ อย.ที่ได้เก็บตัวอย่างของผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพที่วางขายตามท้องตลาดมาตรวจ สอบ พบว่า น้ำหมักชีวภาพเหล่านี้ แม้จะไม่มีการปนเปื้อนของโลหะ เศษไม้ เศษดิน แต่พบการปนเปื้อนของเชื้อรา ยีสต์ เมทิลแอลกอฮอล์ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทและตา โดยเฉพาะเมทานอล หรือเมธิลแอลกอฮอล์ที่ทำอันตรายต่อร่างกายได้

          ดัง นั้นแล้ว เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา รวมทั้งต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต แหล่งผลิต และบรรจุภัณฑ์หีบห่อด้วย แต่ถ้าหากจะนำ "น้ำหมักชีวภาพ" มาใช้ในครัวเรือน หรือการเกษตร ลองทำง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ก็จะปลอดภัยและประหยัดที่สุด

แปรเศษอาหารเป็นปุ๋ยด้วยใบไม้เเห้ง

แปรเศษอาหารเป็นปุ๋ยด้วยใบไม้เเห้ง
                จากรายงานของสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร แสดงให้เห็นว่า ในปีงบประมาณ  2553 มีปริมาณขยะมูลฝอยที่จัดเก็บได้ในกรุงเทพมหานคร มากถึง 2 ,928,818.15 ตัน  ซึ่งหากคิดโดยเฉลี่ยแล้วก็พบว่าในแต่ละวันนั้นมีปริมาณขยะมูลฝอยที่จัดเก็บถึง 8,742.74 ตัน
                จะว่าไปตัวเลขนี้ อาจจะไม่สร้างความเดือดร้อน จนทำให้คนหันมาตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการลดปริมาณ และจัดการขยะมากนัก เพราะแต่ละวันที่เราทิ้งไป ก็มีพนักงานมาช่วยเก็บไปทิ้งให้ไกลห่างตัวอยู่เป็นกิจวัตร แต่วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปีนี้ เชื่อว่าน่าจะทำให้หลายคนเริ่มตระหนักถึงปัญหา และผลกระทบที่เกิดจากขยะไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องไม่มีคนมาช่วยเก็บขยะเหมือนก่อน เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ หรือกลิ่นน้ำเน่าเสียที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นให้สูดดมอยู่ทุกวัน ซ้ำร้าย หากเราไม่รีบหาทางแก้ไข นอกจากกลิ่นเน่าเหม็นแล้ว เจ้าขยะเหล่านี้ยังอาจกลายบ่มเพาะ และแพร่เชื้อโรคระบาดอย่างโรคฉี่หนู ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้อีกด้วย
                ใครที่เป็นผู้ประสบภัย หรือไม่ประสบภัย แต่มีใจอาสา อยากจะทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม นอกจากการลงเงิน ลงแรง ช่วยแพ็คของ แบกของ ลุยน้ำกู้ภัย รวมถึงการช่วยปั้นก้อนจุลินทรีย์บอลแล้ว การรู้จักจัดการขยะในครัวเรือนตัวเอง ก็ถือว่ามีส่วนช่วยชาติได้ไม่น้อยเช่นกัน โดยอยากจะขอเริ่มต้นด้วยการแนะนำวิธีการจัดการเศษอาหารในครัวเรือนอย่างง่ายๆ ให้รู้จักกัน
                วิธีที่1สำหรับบ้านที่พอจะหาเศษใบไม้แห้งได้ มีขั้นตอนการทำดังนี้
1.  หาถังมา 1 ใบ เจาะรูรอบๆด้านข้าง และด้านล่าง
2.  ใส่เศษใบไม้ประมาณ ½ ถัง
3.  ใส่เศษอาหารที่เหลือทิ้งแต่ละวันลงไป โดยควรเทน้ำจากเศษอาหารออก แล้วคลุกกับเศษใบไม้ให้เข้ากัน
4.  หากใบไม้ยุบลง ก็ให้หามาเติมใหม่เรื่อยๆ โดยมีหลักอยู่ว่าเศษใบไม้จะต้องมากกว่าเศษอาหาร ทั้งนี้เพราะเราจะอาศัยจุลินทรีย์ใบไม้ให้ช่วยย่อยเศษอาหาร ทำให้ไม่ส่งกลิ่นเหม็นนั่นเอง
5.  รดน้ำหมักชีวภาพเพื่อเพิ่มความชื้นเล็กน้อย
6.  เมื่อเศษอาหารเต็ม ให้ปิดฝา และหาของหนักๆว่าทับฝาไว้
7.   ทิ้งไว้ 1 เดือน ก็จะได้ปุ๋ยหมักที่มีคุณภาพ สามารถใช้บำรุงพืชผัก และต้นไม้ได้อย่างดี
วิธีนี้ เราสามารถเติมเศษอาหารลงไปได้ทุกวัน จนกว่าจะเต็มถัง เพียงแต่มีหลักสำคัญคือ ทุกครั้งที่เติม จะต้องคลุกเศษอาหารกับใบไม้ให้เข้ากันเสมอ นอกจากนี้ หากเป็นเศษอาหารจำพวกก้าง หรือกระดูกแข็งๆ ก็ควรป่นให้ละเอียดก่อน หรืออาจจะคัดออกไปทิ้งต่างหากก็ได้
ที่สำคัญควรวางถังไว้ในที่ร่ม และเป็นบริเวณที่สามารถปล่อยให้น้ำจากถังไหลซึมออกมาได้ เพราะหากในถังมีความชื้นมากเกินไป ก็อาจจะมีน้ำไหลออกมาจากด้านล่างบ้างเล็กน้อ

ปุ๋ยเร่งโตทำเองได้ ไม่ง้อยูเรีย

ปุ๋ยเร่งโตทำเองได้ ไม่ง้อยูเรีย
ปุ๋ยยูเรีย-ปุ๋ยหมัก ความเหมือนที่เเตกต่าง
ปุ๋ยยูเรีย หรือที่หลายคนอาจจะรู้จักกันในรูปปุ๋ยสูตร 46-0-0 เป็นปุ๋ยที่มีปริมาณไนโตรเจนสูง ทำให้พืชผักโดยเฉพาะผักใบที่ต้องการธาตุไนโตรเจนมากเป็นพิเศษ เจริญเติบโตงอกงามอย่างรวดเร็วทันใจใครหลายคน แต่สิ่งที่ควรทราบคือ หากพืชได้รับไนโตรเจนมากเกินไป ก็จะเกิดการสะสมในรูปไนไตรต และเมื่อเรารับประทานเข้าไปเจ้าไนไตรตก็จะเป็นไนไตรท์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งตับ กระเพาะอาหาร และหลอดอาหาร นอกจากนี้ยังพบว่าไนไตรท์ยังก่อให้เกิดปัญหาต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งควบคุมระบบการทำงานหลายอย่างของร่างกาย เช่นระบบการเผาผลาญ การเต้นของหัวใจ และการหลั่งฮอร์โมนต่างๆ
มีการศึกษาทดลองผลกระทบของปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยหมักที่มีต่อปริมาณไนเตรตและไนไตรท์ในผักบุ้งจีนของอัญชนีย์ อุทัย พัฒนาชีพและคณะพบว่าหากใช้ปุ๋ยที่มีระดับไนโตรเจนเท่ากัน ผักที่ใช้ปุ๋ยยูเรียจะมีการสะสมของไนเตรตและไนไตรท์สูงกว่าปุ๋ยหมัก 4 เท่าและ 2 เท่า ตามลำดับ
ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
คำตอบก็คือว่าปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ยเคมีสามารถละลายน้ำได้ดีและปล่อยธาตุไนโตรเจนออกมาเป็นอาหารพืชได้เร็วกว่า ปุ๋ยหมัก ทำให้พืชดูดซับเร็วและสะสมไว้ได้มากกว่านั่นเอง
ปุ๋ยเร่งโตทำเองได้ไม่ง้อยูเรีย
เราสามารถทำปุ๋ยเร่งโตใช้เองเเทนยูเรียได้หลายสูตรด้วยกัน ลองมาดูกันนะคะว่ามีอะไรบ้าง
สูตร 1  : สิ่งที่ต้องเตรียม
1. น้ำมะพร้าวขูดแบบไม่คั้นกะทิออก 3 กิโลกรัม
2. น้ำ 5 ลิตร
วิธีทำ ห่อมะพร้าวด้วยผ้าขาวบางหมักแช่ไว้ 2 คืน นำน้ำที่ได้มารดผัก
สูตร 2 :สิ่งที่ต้องเตรียม
1. หัวไชเท้า 30 กิโลกรัม  2. กากน้ำตาล 10 ลิตร
3. น้ำมะพร้าว 4. ถังพลาสติกมีฝาปิด
วิธีทำล้างหัวไชเท้าให้สะอาด สับเป็นชิ้นเล็กๆใส่ในถัง จากนั้นละลายกากน้ำตาลในน้ำมะพร้าว เทใส่ในถังกะให้น้ำมะพร้าวท่วมหัวไชเท้า คนให้เข้ากัน ปิดฝา หมักทิ้งไว้ 30 วัน กรองน้ำมาใช้
สูตร 3 ปุ๋ยปลาหมัก (จากสวนผักลุงดิ๊ด):
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. ปลาหรือหอยเชอร์รี่ 5 กิโลกรัม
2. จุลินทรีย์หน่อกล้วยหัวเชื้อ 5 ลิตร **
3. กากน้ำตาล 5 ช้อนแกง
วิธีทำ นำปลาตายมาสับเป็นท่อนเล็กพอประมาณ ใส่ลงในถังหมัก ผสมกับจุลินทรีย์หน่อกล้วยที่เตรียมไว้ ไม่ต้องคน ปิดฝาไม่ต้องแน่นมาก หมักทิ้งไว้ 7 วัน จากนั้นเติมกากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายเพื่อเป็นอาหารเลี้ยงจุลินทรีย์ หมักทิ้งไว้ 1 เดือน กรองน้ำมาใช้ได้
** วิธีทำจุลินทรีย์หน่อกล้วย สูตรหัวเชื้อ
สิ่งที่ต้องเตรียม  1. หน่อกล้วยสูงประมาณ 1 เมตร ทั้งต้นใบเหง้า ไม่ต้องล้างดินออก
2. กากน้ำตาล
วิธีทำ นำหน่อกล้วยมาสับ ชั่งให้ได้ 3 กิโลกรัม ใส่ลงไปในถังแล้วใส่กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม คลุกให้เข้ากัน ปิดฝาไม่ต้องแน่น วางทิ้งไว้ในที่ร่ม 7 วัน โดยให้เปิดคนทั้งเช้าและเย็น เมื่อครบกำหนด ให้กรองน้ำมาใช้
สูตร 4 : สิ่งที่ต้องเตรียม
1. ปุ๋ยคอก
2. น้ำ
วิธีทำ นำปุ๋ยคอกมาแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน แล้วนำน้ำนั้นมารดผัก วิธีนี้เป็นวิธีง่ายที่ที่จะช่วยทำให้พืชสามารถดูดสารอาหารเข้าไปใช้ได้เร็ว หากดินดี รากพืชแข็งแรง พืชก็จะงามและเติบโตดีขึ้นทันใจ
สูตร 5 น้ำหมักจากปัสสาวะ:
วิธีทำ นำปัสสาวะมาหมักกับน้ำตาลทรายแดง อัตราส่วน
น้ำปัสสาวะ 1 ลิตร ต่อน้ำตาลทรายแดง 0.5 กิโลกรัม หมักทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ กรองเอาน้ำหมักมาผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 ฝาขวดน้ำดื่ม ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ 1 ช้อนแกงต่อน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นหรือรดพืชตอนเช้าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ลองนำไปทำกันดูนะคะ ใครสามารถหาวัตถุดิบไหนได้ง่าย ก็เลือกใช้สิ่งนั้น อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือใส่ปุ๋ยแล้วอย่าลืมใส่ใจ ช่างสังเกต หมั่นเรียนรู้และทำความเข้าใจธรรมชาติของผักด้วยนะคะ

ที่มา:http://www.thaicityfarm.com/autopagev4/show_page.php?topic_id=364&auto_id=29&TopicPk=

ทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ

ทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ

วัสดุที่ใช้ทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพพร้อมคุณสมบัติและประโยชน์ 
  1. มูลไก่แห้ง ให้ธาตุอาหารหลักทั้ง 3 คือ ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส และโพแทสเซี่ยม (ต้องเป็นมูลไก่ที่ไม่มีโซดาไฟ)
  2. ฮิวมัส คือ ซากพืชและซากสัตว์ที่ตายทับถมกันจนเน่าเปื่อยและสลายกลายเป็นอินทรีย์วัตถุ ที่มีสีคล้ำ-ดำ ฮิวมัสอาจจะทำมาจากการหมักของซากพืชเพียงอย่างเดียวก็ได้ เช่น หมักจากกากอ้อยหรือปาล์ม ฮิวมัสจะให้อินทรีย์วัตถุ, ธาตุอาหารหลัก, ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุ
  3. ปุ๋ยหินฟอสเฟต จะให้ธาตุฟอสฟอรัส
  4. โดโลไมต์ จะให้ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียมเป็นหลัก ซึ่งใช้ปรับปรุงดินในระดับตื้น ๆ เรามักนิยมใช้โดโลไมต์เพื่อปรับปรุงดินที่เป็นกรดให้คืนสภาพได้ในเวลาที่รวด เร็ว
  5. ยิปซั่ม เป็นสารปรับปรุงดินใช้ปรับปรุงดินในระดับลึกลงไป และให้ธาตุอาหารที่สำคัญ คือแคลเซียม, กำมะถัน และแมกนีเซียม แหล่งของยิปซั่มมาจากธรรมชาติใต้ดิน หรืออาจทำมาจากส่วนที่เหลือจาการทำปุ๋ยหินฟอสเฟต
  6. แร่ธรรมชาติเพอร์ไลต์หรือภูไมต์ เป็นแร่ธรรมชาติที่เกิดจากภูเขาไฟเกรด A ในเมืองไทย มีองค์ประกอบหลักเป็นซิลิกาไดออกไซด์ (SiO2) เมื่อใส่ลงไปในดิน จะละลายและปลดปล่อยซิลิกาออกมาในรูปของกรดซิลิสิก ทำให้พืชสามารถนำไปใช้ได้ เนื่องจากภูไมต์จะละลายอย่างช้า ๆ จึงทำให้ดินร่วนซุย และอุ้มน้ำได้ดีมาก (ซิลิกาจะเข้าไปอยู่ในเซลล์พืช และช่วยให้พืชมีลำต้นแข็งแรง)
  7. แกลบเผาหรือเถ้าปาล์ม เป็นเสมือนบ้านหลังใหม่ของจุลินทรีย์ที่ย้ายมาจากน้ำหมักชีวภาพ อีกทั้งแกลบยังให้ธาตุอาหารโพแทสเซี่ยม และคาร์บอน
  8. รำละเอียด เป็นอาหารของจุลินทรีย์ ช่วยให้จุลินทรีย์มีชีวิตอยู่ได้
  9. น้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพ แหล่งของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืช
หมายเหตุ:
  • กรณีไม่สามารถหาฮิวมัสได้ สามารถใช้ ดินท้องร่อง, ดินท้องคลอง, ดินเลนนากุ้ง, หน้าดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ หรือ ปุ๋ยหมักที่ใช้สูตร พ.ด.1  ทดแทน ได้เช่นกัน
  • วัสดุหรือส่วนผสมนี้ ชาวสวนยางพารา(ที่มีความรู้เรื่องการผลิตปุ๋ยอินทรีย์อยู่บ้าง) บอกว่า"อัดแน่นด้วยคุณภาพ" จริง ๆ

มูลไก่แห้ง วัสดุทำปุ๋ยอินทรีย์(ชีวภาพ) ฮิวมัส ปุ๋ยหินฟอสเฟต
โดโลไมต์ ยิปซั่ม ภูไมต์

วิธีหรือขั้นตอนการผลิต

1. ทำการเตรียมน้ำหมักชีวภาพไว้ก่อน โดยหมักไว้ประมาณ 3 เดือน
2. นำมูลไก่แห้งมาบดด้วยเครื่องบดหรือจะไม่บดก็ได้เช่นกัน
3. ชั่งวัสดุทั้งหมด คือ มูลไก่, แกลบดำ, ภูไมต์, รำละเอียด, ฟอสเฟต, โดโลไมท์, ฮิวมัส และยิปซั่ม ให้ได้น้ำหนักตามที่ต้องการ
4.   นำวัสดุทั้งหมดใส่ลงในเครื่องผสม(อาจใช้โม่ปูนแทนชั่วคราว) เดินเครื่องผสมเพื่อทำการผสม เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว (ในขณะที่เครื่องกำลังหมุนอยู่)ใช้เครื่องพ่นหรือบัวรดน้ำต้นไม้ก็ได้ ราดน้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพ สังเกตุดูจนได้ปุ๋ยที่มีความชื้นพอเหมาะ จากนั้นก็ถ่ายออกจากเครื่องผสม
5.  นำปุ๋ยใส่กระสอบ โดยชั่งให้ได้น้ำหนัก 50 กิโลกรัม(หรือ 25 กิโลกรัม ตามต้องการ)  และตั้งทิ้งไว้ในอาคารหรือที่ร่ม(ยังไม่ควรมัดปากกระสอบ)จนปุ๋ยเย็นตัวลง
6.  มัดหรือเย็บปากกระสอบ เราก็จะได้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพชนิดไม่อัดเม็ดพร้อมสำหรับการใช้งาน หรือจำหน่าย ต่อไป

ปุ๋ยอินทรีย์หรือินทรีย์ชีวภาพราคาถูก
ปุ๋ยอินทรีย์หรือินทรีย์ชีวภาพราคาถูก
ปุ๋ยอินทรีย์หรือินทรีย์ชีวภาพราคาถูก



ภาพการร่วมแรงร่วมใจกันของชาวสวนยางพาราในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพเพื่อใช้และจำหน่ายกันเอง


 สูตรการผสมปุ๋ยอินทรีย์(ชีวภาพ) จำนวน 200 ก.ก. 
 เมื่อผสมแล้วจะได้มาตรฐานปริมาณธาตุอาหาร 1.0-0.5-0.5 หรือใก้ลเคียง ดังนั้น จึงควรตรวจสอบปริมาณธาตุอาหารเมื่อจำเป็นต้องใช้ข้อมูลอ้างอิง
วัสดุ
น้ำหนัก(ก.ก.)
ราคา(บาท)
เป็นเงิน(บาท)
มูลไก่
65
2.50
162.50
ฮิวมัส
60
3.50
210.00
ปุ๋ยหินฟอสเฟต
30
2.60
78.00
ยิปซั่ม
10
3.00
30.00
ภูไมต์
10
4.50
45.00
รำละเอียด
10
10.80
108.00
แกลบเผา
10
4.50
45.00
โดโลไมต์
5
2.50
12.50
รวม
200
-
691.00
นั่นคือ ต้นทุน:
691.00 บาทต่อปุ๋ย 4 กระสอบ(กระสอบละ 50 กิโลกรัม) หรือ
172.75 บาทต่อปุ๋ย 1 กระสอบ หรือ
3.46 บาทต่อกิโลกรัม
ต้นทุนการผลิตจะถูกลงกว่านี้อีกมากหากว่าเราสามารถหาวัสดุได้เองในท้องถิ่นบ้านเรา
สูตร นี้จะทำให้ได้ธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองเช่น แคลเซี่ยม, แมกนิเซียม และซัลเฟอร์ เข้ามาด้วยเนื่องจากใช้วัสดุ โดโลไมต์ และยิปซั่ม ในการผสม
ขั้นตอนการผลิตและสูตรส่วนผสมเหล่านี้ ได้มาจากเพื่อนผู้ซึ่งยังไม่ประสงค์ออกนาม ซึ่งขณะนี้เพื่อนท่านนี้ เป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มเษตรกรชาวสวนยางเพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพชนิด อัดเม็ดเพื่อจำหน่ายกับสมาชิก(ราคาถูก) และจำหน่ายบุคคลทั่วไป(ราคาปกติ) ตอนนี้ทราบว่าขายดีมากๆ แถมผลิตไม่ทันกับความต้องการที่มาแรงมาก ครับ

การใช้ปุ๋ยในสวนยางพาราที่ให้ผลผลิตแล้ว

การใช้ปุ๋ยในสวนยางพาราที่ให้ผลผลิตแล้ว

 
(13 votes, average: 4.46 out of 5)
ต้นยางพาราในระยะให้ผลผลิตน้ำยางมีความต้องการธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียมสูงสำหรับ สวนยางพาราที่เริ่มเปิดกรีดซึ่งอาจจะเป็นต้นยางที่มีอายุ 6-7 ปี หากว่าเป็นสวนยางพาราที่เคยปลูกพืชคลุมและได้ใส่ปุ๋ยบำรุงต้นยางและพืชคลุม เป็นอย่างดีมาอย่างสม่ำเสมอ (เดี๋ยวนี้แทบหาสวนยางที่ปลูกพืชคลุมไม่ได้แล้ว!) สถาบันวิจัยยางให้ข้อคิดว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยในช่วง 2 ปีแรกของการเปิดกรีดก็ได้ เพราะว่าผลตกค้างจากการใส่ปุ๋ยที่ผ่าน ๆ มาและการสร้างปุ๋ยโดยธรรมชาติของพืชคลุมดินตระกูลถั่วทำให้ต้นยางยังคงได้ รับธาตุอาหารอย่างเพียงพอ แต่หากว่าสวนยางพาราของเราไม่เคยปลูกพืชคลุมเลย ก็คงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเพื่อให้ได้รับผลผลิตสูงสม่ำเสมอ
สำหรับผู้ที่ชอบหลักการหรือที่มา  ผมขอแนะนำตัวเลขจากสถาบันวิจัยยางที่ศึกษาทดลองแล้วสรุปผลออกมาว่า ปริมาณธาตุอาหารที่เหมาะสมสำหรับยางพาราหลังเปิดกรีด คือ ต้องการ
  • ไนโตรเจน 300 กรัมต่อต้นต่อปี(หรือ 24 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี)
  • ฟอสฟอรัส 50 กรัมต่อต้นต่อปี(หรือ 4 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี)
  • โพแทสเซี่ยม 180 กรัมต่อต้นต่อปี(หรือ 14.4 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี)
เมื่อรู้ว่าต้นยางพาราระยะนี้ต้องการธาตุอาหารแค่ไหนแล้ว หากทำได้ ก็ควรวิเคราะห์ดินว่ามีธาตุอาหารแต่ละตัวมากน้อยแค่ไหน แล้วผสมปุ๋ยให้ตรงกับสวนยางพาราของเราซึ่งเราเรียกวิธีการแบบนี้ว่าเป็นการ "ใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน" แต่ละแปลง แต่หากไม่สะดวกที่จะวิเคราะห์ในตอนนี้ก็ให้ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 29-5-18 ด้วยอัตราการใส่อย่างน้อย 1 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี และควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง(ครึ่งกิโลกรัมต่อต้นต่อครั้ง) ในช่วงต้นฤดูฝนครั้งหนึ่ง และปลายฤดูฝนอีกครั้งหนึ่ง โดยใส่ในบริเวณกึ่งกลางระหว่างแถวต้นยางซึ่งมีรากดูดอาหารหนาแน่น แล้วคราดกลบ หรือใส่เป็นหลุมแล้วกลบ ต้นละ 2-4 การไถจะเป็นการตัดรากแขนงที่เห็นในภาพนี้ และรากฝอยหรือรากดูดอาหารจนเกือบหมดสิ้นหลุม เพื่อป้องกันการสูญเสียปุ๋ยโดยถูกน้ำชะล้าง และควรกำจ้ดวัชพืชก่อนทำการใส่ปุ๋ยทุกครั้ง ด้วยการตัดชิดดินในแถวต้นยาง สำหรับระหว่างแถวต้นยางก็ควรตัดชิดดินในช่วงต้นฤดูฝน(เพื่อให้สวนยางโปร่ง และลดความชื้น-ลดการระบาดของโรคจากเชื้อรา) ส่วนในช่วงปลายฤดูฝนถ้าจะตัดแบบเหลือความสูงไว้บ้างสักไม่เกินระดับเข่า ก็จะเป็นการดีที่จะทำให้ความชื้นในสวนยางยังคงมีอยู่บ้างเมื่อเข้าสู่หน้า แล้ง ซึ่งจะทำให้สวนยางให้ผลผลิตน้ำยางมากกว่าสวนที่โล่งเตียน-อากาศแห้ง สวนยางพาราที่เปิดกรีดแล้วไม่ควรไถ เพราะการไถจะเป็นการตัดรากแขนงและรากฝอยหรือรากดูดอาหารจนเกือบหมดสิ้น และการไถยังมีส่วนทำให้ต้นยางพาราเป็นโรคเปลือกแห้งมากกว่าสวนยางที่ไม่ได้ ไถถึงประมาณ 3 เท่า
แต่ถ้าไม่สามารถหาปุ๋ยเม็ดสูตร 29-5-18 ได้ ชาวสวนยางก็สามารถหาซื้อแม่ปุ๋ยมาผสมเองได้ ถ้าต้องการผสมปุ๋ยสูตร  30-5-18 จำนวน 100 กิโลกรัม  ก็ให้ใช้แม่ปุ๋ยและจำนวน ดังนี้
  • ชาวสวนยางในภาคใต้มักใช้ปุ๋ยสูตร 15-7-18 กันมากไดแอมโมเนียมฟอสเฟต(18-46-0) จำนวน  10  กิโลกรัม
  • ยูเรีย                            (46-0-0) จำนวน  60  กิโลกรัม
  • โพแทสเซียมคลอไรด์    (0-0-60)  จำนวน  30 กิโลกรัม
หากไม่สามารถหาปุ๋ยสูตร 29-5-18 หรือไม่สะดวกที่จะผสมปุ๋ยสูตร  30-5-18 ใช้ได้  ก็สามารถใช้ปุ๋ยสูตร 15-7-18 ก็ได้เช่นกัน ชาวสวนยางในภาคใต้มักใช้ปุ๋ยสูตร 15-7-18 กันมาก เนื่องจากสูตรนี้เป็นปุ๋ยสูตรสำหรับยางที่เปิดกรีดแล้วที่สถาบันวิจัยยางเคย แนะนำให้ใช้มาก่อนที่จะแนะนำสูตร 30-5-18 หากเปรียบเทียบแล้วการใช้สูตร 30-5-18 จะให้ผลผลิตน้ำยางสูงกว่า ใช้สูตร 15-7-18 ประมาณ 15 % แต่หากเรารู้ว่าสภาพดินในสวนยางของเรามีธาตุไนโตรเจนอยู่มากแล้ว ก็น่าจะใช้สูตร 15-7-18 แทน จะเป็นการประหยัดกว่า

ปุ๋ยอินทรีย์จำเป็นหรือไม่อย่างไร?

เนื่องจากการปลูกยางพาราที่ผ่านมา จะมีการใส่ปุ๋ยเคมีให่กับสวนยางทุก ๆ ปี หากปลูกยางพารามาแล้ว 1 รอบ ก็เท่ากับใส่ปุ๋ยเคมีลงในสวนยางมานานถึง 25 ปีแล้ว ตอนนี้มีไม่น้อยเลยที่กำลังจะปลูกยางเป็นรอบที่ 3  ก็เท่ากับว่าพื้นดินในสวนยางได้รับปุ๋ยเคมี มาแล้ว เกือบ 50 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือดินอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม สูญเสียคุณสมบัติทางชีวะ เคมี ฟิสิกส์ ทำให้ดินแข็ง, ไม่ร่วนซุย, ไม่มีใส้เดือน หรือจุลินทรีย์ในดินเพียงพอที่จะทำให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืชได้ แนวทางเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ก็คือกลับสู่ธรรมชาติโดยเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ บ้างนั่นเอง
ชาวสวนยางพาราควรรวมกลุ่มเพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพเนื่อง จากอินทรีย์วัตถุมีส่วนช่วยให้คุณสมบัติดินในทุกด้านดีขึ้น ดังนั้นสำหรับสวนยางพาราที่ไม่เคยปลูกพืชคลุมมาก่อน จึงควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2-3 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี โดยใส่ร่วมกับปุ๋ยเคมีตามอัตราที่แนะนำ หากต้องการใส่มากกว่านี้ก็สามารถทำได้ การใส่ปุ๋ยอินทรีย์จำนวนมากสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ แต่ต้องคำนึงถึงต้นทุนและผลตอบแทนด้วย สถาบันวิจัยยางได้ทำการทดลองกับสวนยางพาราในเขตแห้งแล้งแล้วพบว่า สำหรับสวนยางพาราที่มีอินทรีย์วัตถุในดินสูงและมีธาตุอาหารพอเพียง การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 3 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี สามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ครึ่งหนึ่ง
มาตรฐานขั้นต่ำของธาตุอาหารในปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ คือ 1.0-0.5-0.5 ซึ่งจะเห็นว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับปุ๋ยสูตร 30-5-18 หรือ 15-7-18 ดังนั้น การจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์จำนวนเพียง 2-3 กิโลกรัมต่อต้นต่อปีเพียงอย่างเดียว จึงไม่อาจทดแทนปุ๋ยเคมีทั้งหมดได้ หรือไม่อาจทำให้ต้นยางพาราได้รับธาตุอาหารอย่างเพียงพอเพื่อให้มีผลผลิตสูง สม่ำเสมอได้
สำหรับสวนยางพาราที่เคยปลูกพืชคลุมตระกูลถั่วชนิดเลื้อยมาตลอด เมื่อถึงช่วงเปิดกรีดแม้จะไม่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่ามีอินทรีย์วัตถุในดินเพียงพอแล้วจากการปลูกพืชคลุมนั่นเอง
ในปัจจุบันนี้ ราคาปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพมีราคาแพงมาก เกษตรกรชาวสวนยางพาราจึงควรทำหรืออาจรวมกลุ่มกันทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองเพื่อลดต้นทุน ซึ่งอาจจะเหลือเพียง กิโลกรัมละ 2-3 บาท เท่านั้น