วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

พันธุ์ยางพารา

การพิจารณาเลือกพันธุ์ยางพารา
ปริมาณผลผลิตที่จะได้รับจากสวนยางพารา ไม่ว่าจะเป็นน้ำยางหรือเนื้อไม้ ก็ตาม นอกจากจะขึ้นอยู่กับปัจจัยแรก คือ ความเหมาะสมของพื้นที่ แล้ว พันธุ์ยางพารา และ การจัดการสวนยาง คือสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน แต่ในเบื้องต้นจะขอกล่าวถึงเรื่องพันธุ์ยางพาราก่อน ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ยางพารา ก็คือ สถาบันวิจ้ยยาง กรมวิชาการเกษตร ซึ่งหลังจากที่ได้ทำการวิจัยหรือทดลองจนได้ผลแล้ว ก็จะประกาศหรือจัดทำคำแนะนำเกี่ยวกับพันธู์ยางพาราออกมา ทุก ๆ 4 ปี และล่าสุดตอนนี้ก็คือ คำแนะนำพันธุ์ยาง ปี 2550 ซึ่งได้แบ่งพันธุ์ยางออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
  • กลุ่มพันธุ์ยางเพื่อผลผลิตน้ำยาง คัดเลือกเฉพาะพันธุ์ที่ให้น้ำยางมาก
  • กลุ่มพันธุ์ยางเพื่อผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้ คัดเลือกเฉพาะพันธุ์ที่ให้น้ำยางมาก และเนื้อไม้มาก
  • กลุ่มพันธุ์ยางเพื่อผลผลิตเนื้อไม้ คัดเลือกเฉพาะพันธุ์ที่ให้เนื้อไม้มาก
โดยในแต่กละกลุ่มก็จะแบ่งพันธุ์ยางออกเป็นชั้น ๆ ได้ แก่
  • ยางพันธุ์ชั้น 1 หมายถึง พันธุ์ยางที่ปลูกได้โดยไม่จำกัดจำนวนเนื้อที่ปลูก
  • ยางพันธุ์ชั้น 2 หมายถึง พันธุ์ยางที่ปลูกได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของเนื้อที่ถือครอง และต่ละพันธุ์ ต้องปลูกไม่น้อยกว่า 7 ไร่
  • ยางพันธุ์ชั้น 3 หมายถึง พันธุ์ยางที่ปลูกได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของเนื้อที่ถือครอง และต่ละพันธุ์ ต้องปลูกไม่น้อยกว่า 7 ไร่
คำแนะนำพันธุ์ยาง ปี 2550 ของสถาบันวิจ้ยยาง ในแต่ละกลุ่ม และชั้น ซึ่งจะขอกล่าวเฉพาะ ยางพันธุ์ชั้น 1 มีดังนี้
  • กลุ่มพันธุ์ยางเพื่อผลผลิตน้ำยาง
    • ยางพันธุ์ชั้น 1 มีจำนวน 4 พันธุ์ ได้แก่ สถาบันวิจัยยาง 251, สถาบันวิจัยยาง 226, BPM 24 และ RRIM 600
  • กลุ่มพันธุ์ยางเพื่อผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้
    • ยางพันธุ์ชั้น 1 มีจำนวน 3 พันธุ์ ได้แก่ PB 235, PB 255 และ PB 260 (พันธุ์ PB 255 และ PB 260 สถาบันวิจ้ยยาง ไม่แนะนำให้ปลูกในพื้นที่ปลูกยางใหม่)
  • กลุ่มพันธุ์ยางเพื่อผลผลิตเนื้อไม้
    • ยางพันธุ์ชั้น 1 มีจำนวน 3 พันธุ์ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา 50, AVROS 2037 และ BPM 1

การพิจารณาเลือกพันธุ์ยางพาราว่าจะปลูกพันธุ์ใด เราควรศึกษารายละเอียดของพันธุ์ยางนั้น ๆ ในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การให้ผลผลิตน้ำยาง, ผลผลิตเนื้อไม้, ความหนาของเปลือกเดิม, เปลือกงอกใหม่่, ความสามารถที่จะปลูกในพื้นที่ลาดชัน, ความต้านทานต่อลมแรง, ความสามารถในการปลูกในพื้นที่หน้าดินตื้น แล้วนำมาเทียบกับสภาพภูมิอากาศและการระบาดของโรคยางที่สำคัญในเขตพื้นที่ ปลูกยางที่สวนยางเราตั้งอยู่
สำหรับเขตพื้นที่การปลูกยางพาราของไทยนั้น สถาบันวิจัยยางได้ศึกษาสภาพภูมิอากาศแล้ว ได้แบ่ง เป็นดังนี้
  • เขตพื้นที่ปลูกยางเดิม แบ่งได้ 6 เขต คือภาคใต้ 4 เขต(เขตฝั่งตะวันตก, เขตตอนกลาง, เขตตอนใต้ และเขตชายแดน) ส่วนภาคตะวันออก แบ่งเป็น 2 เขต (เขตตอนกลาง และเขตชายแดน)
  • เขตพื้นที่ปลูกยางใหม่ แบ่งได้ 2 เขต คือ พื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนต่อปีมากกว่า 1,600 มิลิเมตร และ พื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนต่อปีน้อยกว่า 1,600 มิลิเมตร
หากสรุปให้ง่ายขึ้น ก็คือ ควรปลูกพันธุ์ยางที่เหมาะสมกับสภาพดิน, ภูมิอากาศ และเป็นพันธุ์ที่ต้านทานต่อโรคที่ระบาดอยู่ในบริเวณที่สวนยางเราตั้งอยู่ และควรดูว่าในบริเวณใก้ลเคียง ชาวสวนยางแถวนั้นเขานิยมปลูกพันธุ์อะไรกันบ้าง เคยเจอหรือพบกับโรคที่ระบาดและทำความเสียหายอย่างหนักมาบ้างหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ก็พอจะเป็นข้อมูลให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น
สำหรับในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออกแล้ว ขณะนี้พบว่า ยางพาราพันธุ์ RRIM 600 ยังคงเป็นพันธุ์ยางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ประมาณว่า ในพื้นที่ดังกล่าวปลูกยางพาราพันธุ์นี้ มากกว่า ร้อยละ 90 ถึงแม้ว่าพื้นที่ปลูกจะอยู่ในเขตที่เสี่ยงต่อโรคใบร่วง(ไฟทอปโทร่า), โรคเส้นดำ และโรคราสีชมพู ก็ตาม นอกจากนี้ พันธุ์ยาง RRIM 600 ยังให้เนื้อไม้ที่สวย ขายได้ราคาสูง อีกด้วย..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น