วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วันพ่อแห่งชาติ

วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2556






ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าสวนผักหวานพันธุ์ยาง

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ถวายพระพรวันแม่แห่งชาติ


12 สิงหาคม 2556 

วันแม่แห่งชาติ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าสวนผักหวานพันธุ์ยาง

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขายกิ่งตาพันธุ์ยาง 984

ประกาศ

มีกิ่งตาพันธุ์ยางเฉลิมพระเกียรติ 984 ขายสนใจติดต่อ 0817681231


วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ความแตกต่างแปลงกิ่งตากับยางตาสอย

ความแตกต่างแปลงกิ่งตากับยางตาสอย

7-กิ่งตาคุณภาพดี
แปลงกิ่งตา หมายถึง ตายางพาราที่ปลุกไว้ทำหรับเอาตามาติดขยายพันธุ์  มีการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ถูกต้อง มีการดูแลบำรุงรักษาอย่างดี เพื่อให้กิ่งตามีความสมบูรณ์ ดังนั้นกล้ายางที่ใช้กิ่งตาดี มีคุณภาพจะมีข้อดีดังนี้
- กล้ายางตรงตามสายพันธุ์
- ต้นโตเร็ว มีความสมบูรณ์ และทนโรค
- ออกดอกหรือออกลูกช้า เนื่องจากกิ่งตาที่ได้จากแปลงกิ่งตา จะไม่มีฮอร์โมนเร่งการออกดอกติดมาด้วย
- ให้น้ำยางได้มาก สูงตามลักษณะของสายพันธุ์
กิ่งตาสอย
ยางตาสอย หมายถึง ตายางพาราที่ได้จากการตัดหรือสอยเอามาจากยางต้นใหญ่ เพื่อเอาไปติดกับต้นกล้ายางตาเขียว, ยางชำถุงหรือยางบัดดิ้งก็แล้วแต่…ซึ่งยางตาสอยจะมีผลเสียต่อเกษตรกรในระยะ ยาวด้วยเหตุดังนี้
- ยางตาสอย..ปลูกแล้วอาจจะได้ไม่ตรงสายพันธุ์
- ยางตาสอย..ปลูกแล้วต้นโตช้า อ่อนแอไม่ทนต่อโรค
- ยางตาสอย…ปลูกแล้วออกลูกเร็ว เพราะมีฮอร์โมนเร่งการออกลูกติดมาจากต้นแม่ที่ไปสอยมา
- ยางตาสอย…ปลูกแล้วให้น้ำยางน้อย  น้ำยางที่ได้อาจลดลง 20-30% หรือบางต้นไม่มีน้ำยางเลย
ข้อควรระวัง!… เกษตรกรที่ลดต้นทุนค่าต้นกล้า โดยหาซื้อต้นกล้าราคาถูกแต่ไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพและแหล่งที่มาของกิ่งตานั้น อาจจะเกิดผลเสียกับท่านในระยะยาว


ที่มา http://coolhandpara.com/

ข้อมูลยางพันธุ์มาเล PB 350

พันธุ์ยาง PB350
PB 350 สายพันธุ์นี้ถูกพัฒนามาจากสายพันธุ์ 600 เดิม ซึ่งโครงสร้างต้นทั้งหมดจะอยู่ในรูปแบบของไม้ซุงลักษณะใบจะคล้ายๆ กับ RRIM 600 แต่ลำต้นจะมีขนาดใหญ่กว่าเมื่ออายุ 4 ปี

เราสามารถสังเกตถึงความแตกต่างโดยสิ้นเชิง ข้อดีของยางพาราสายพันธุ์ PB 350 นี้คือ
 
ยางพันธุ์มาเลเซีย  PB 350
 
1. PB 350 แก้ปมด้อยของสายพันธุ์ RRIM 600 ทั้งหมด เช่น ทนต่อการติดเชื้อราที่มาจากทางดินและทางอากาศได้ดีมาก หลายเท่าตัว เช่น เชื้อราไฟทอปเธอร่า เป็นต้น
2. PB 350 สายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาเพื่อให้สามารถอยู่ได้ในสภาพพื้นที่ที่แล้งหรือขาดน้ำ ได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งสายพันธุ์นี้จะมีอัตราอยู่รอดดีกว่าสายพันธุ์ RRIM 600 ถึง 3 เท่า เนื่องจากโครงสร้างลำต้นทั้งหมดจะอยู่ในลักษณะของไม้ซุง ซึ่งภาษาท้องถิ่นมาเลเซียเรียกว่า Klon Balak หรือ โคลนนิ่งไม้ซุงนั่นเอง
3. PB 350 มีระบบรากแก้วที่ยาวกว่า สายพันธุ์ RRIM 600 ถึง 3 เท่า ทำให้การหล่อเลี้ยงธาตุอาหาร ของท่ออาหารและน้ำ Sylem และ Ploem มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ และระบบรากสามารถเดินหาอาหารได้ลึกและไกลกว่าสายพันธุ์ RRIM 600
4. PB 350 หน้ายางนิ่ม ไม่หนาและไม่บางจนเกินไป ข้อดี ไม่ทำให้เกิดภาวะหน้ายางตาย หรือหน้ายางแตก
5. ในสภาวะ ดิน ฟ้า อากาศ ที่เหมาะสม PB 350 นี้ สามารถเปิดหน้ายางได้เพียงแค่ปีที่ 5 เท่านั้น จะเร็วกว่าสายพันธุ์ RRIM 600 ถึง 2 ปี ทำให้เกษตรกรประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น
6. PB 350 โตไว โตเร็ว ลักษณะโดยกายภาพแล้ว จะให้ขนาดความใหญ่ลำต้น ปีละ 2 นิ้ว หรือ 4 ปี 8 นิ้ว หรือ 50 เซนติเมตรรอบวงนั่นเอง
7. ช่วงอายุการให้ผลผลิตสามารถให้ผลผลิตได้ถึงปีที่ 40 จากการวิจัยสายพันธุ์ PB 350 จะชะลอให้หรือคงที่ Stable เมื่ออายุต้นอยู่ปีที่ 35 เป็นต้นไป
8. การให้ผลผลิต จากข้อมูลขององค์กรพัฒนาสายพันธุ์ยางพาราแห่งมาเลเซีย หรือ (Lembaga Getah Malaysia, LGM) สามารถให้ผลผลิตถึง 450 กิโลกรัม/ไร่/ปี (กรีด 120 วัน/ปี)
9. การพัฒนาความเข้มข้น (intensity) ของน้ำยาง PB 350 อยู่ที่ 38-40% คำนวณจากเปอร์เซ็นน้ำยางแห้ง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูงสุด
10. PB 350 สามารถปลูกได้ในที่เนินเขาความชันไม่เกิน 30 องศา และพื้นที่ราบลุ่ม
หมายเหตุ ความสามารถต่างๆ เหล่านี้ของ Pb350 ได้รับการพิจารณาปลูกอย่างกว้างขวางในมาเลเชีย

ที่มา...http://www.yangpantae.com/PB350.php

ยางพันธุ์ดีพีบี 350(PB 350)

PB 350 
 
เหตุ ใดจึงมีหลายคนอยากปลูก PB350 เพราะว่ายางมาเลเซียสายพันธุ์นี้ ถูกพัฒนามาจากสายพันธุ์ 600 เดิม ซึ่งโครงสร้างลำต้นจะอยู่ในรูปแบบของไม้ต้นใหญ่คล้ายๆ ซุง ลักษณะใบจะคล้ายๆ กับ RRIM 600 เมื่ออายุเริ่มเข้าปีที่ 4 ลำต้นจะมีขนาดใหญ่กว่า RRIM 600 อย่างชัดเจน
 

 
ภาพจริงจากพีดีพันธุ์ยางยางพันธุ์ดี PB350 ปี2554

 
PB 350

 
PB 350 อายุ 8 เดือน ปลูกปี 2554 โตเร็วมากที่นครพนม เหมาะจริงๆ ภาคอีสาน
ต้านโรคดี  พีดีพันธุ์ยางขอแสดงความยินดีและขอบคุณที่ เลือกพันธุ์คุณภาพกับเรา
 
ยางพันธุ์ดี PB350
 
PB350 ปลูก ปี 2554 อายุ 9 เดือน  พิสูจน์แล้วโตเร็วต้านโรคทนแรง ปลูกจังหวัด สกลนคร

ภาพนี้ลูกค้า พีดีพันธุ์ ยางบอกกับทางทีมงานว่ายังไม่ได้ใส่ปุ๋ยเลย แล้วปลูกในสวนกล้วย
ไปด้วยกันได้ดี ท่านใดยังไม่เคยปลูกพันธุ์นี้ต้องลองดูครับ ไม่ผิดหวัง
ครั้งหน้าจะเก็บรูปมาฝาก ทีมงาน โฮมเกษตรอีกครั้ง
ลูกผสมระหว่าง RRIM 600 + Pb 335
       
ความสามารถที่แตกต่าง
  • แก้ปมด้อยของสายพันธุ์ RRIM 600 ทั้งหมด เช่น ทนต่อเชื้อราไฟทอปเทอร่า ที่มากับฝนใหญ่ทั้งทางบกและทางอากาศได้ดีมาก หลายเท่าตัว
  • ความสามารถทนอยู่ได้ในสภาพพื้นที่ที่แล้งหรือขาดน้ำในระดับที่ดีกว่าสายพันธุ์ RRIM 600 หรือดีกว่า 3 เท่า ทั้งนี้เนื่องจากโครงสร้างลำต้นจะอยู่ในลักษณะของไม้ป่า มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้นานกว่าและดีกว่า
  • ระบบรากแก้ว จะมีความยาวกว่า สายพันธุ์ RRIM600 3 เท่า เนื่องจากลักษณะลำต้นที่ใหญ่แข็งแรงคล้ายไม้ป่า ระบบรากย่อยก็เช่นเดียวกัน มีรากฝอยและรากแขนงที่ยาว ขนาดของรากใหญ่ แผ่กว้าง ความสามารถในดูดน้ำและอาหารมาหล่อเลี้ยงลำต้นได้ดีและไกลกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ
  • เปลือกยางไม่หนา และไม่บางจนเกินไป มีขนาดพอเหมาะ หน้ายางนิ่ม ความเหมาะสมของเปลือกไม่ก่อให้เกิดสภาวะหน้ายางแห้ง หน้าตาย หรือหน้ายางแตก

 ยางพันธุ์ดี PB350
 
PB 350 อายุ 8 เดือนกว่า ปลูกปี2554 จังหวัดน่าน 
 
ภาพ นี้ลูกค้าพีดีพันธุ์ยางบอกกับทางทีมงานว่า PB 350 เหมาะกับพื้นที่ภูเขาดี ท้านลมทนแรงระบบรากเหมาะกับดินภูเขา ถ้าเป็นลักษณะพื้นที่ภูเขาอยากให้ผู้สนใจได้ลองปลูกดูครับ ทีมงานโฮมเกษตรขอขอบคุณภาพสวยๆ จากทีมงานจังหวัดน่านครับ
 
  • ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูกยาง สามารถเปิดกรีดได้ในปีที่ 5 หลังปลูกเท่านั้น จะเปิดกรีดได้เร็วกว่าสายพันธุ์ RRIM 600 ถึง1- 2 ปี ลดภาระการเลี้ยงดูให้สั้นลงและทำเงินได้เร็วกว่า
  • ลักษณะการเจริญเติบโตของลำต้น ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของลำต้น 
    • ได้ทำการวัดขนาดโตของลำต้นเมื่อได้อายุ 2 ปี เริ่มที่ 15 ซม.
    • วัดหลังจากครบ 1 ปี ลำต้นโตที่ 28.8 ซม.เฉลี่ยโตเดือนละ 1.15 ซม.
    • ในปีที่ 3 และโตเฉลี่ยเดือนละ1.27
    • ในปีที่ 4 ลำต้นจะโตได้ขนาดเปิดกรีดที่รอบต้นวัดได้ 50 ซม.
    • ในปีที่ 5 พอดี ทั้งนี้เป็นการวัดสูงจากพื้นดิน150 ซม.
  • ผลผลิต 450 กก./ไร่/ปี (กรีด 120 วัน/ปี) มากกว่าRRIM 600 เกือบเท่าตัว (RRIM 600 ผลผลิต 280 กก./ ไร่/ปี) ให้ผลผลิตได้สูงได้ถึง ปีที่ 35 หลังจากนั้นจะชะลอหรือคงที่ แต่การเพิ่มฮอร์โมนเอททีลีน จะเพิ่มปริมาณน้ำยางได้อีก ความเข้มข้นของน้ำยาง 38-40 % ถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูง
  • สามารถปลูกได้ที่เนินเขาความชันไม่เกิน 30 องศา พื้นที่ราบลุ่มและพื้นที่แล้งนาน
  • ความสามารถต่างๆ เหล่านี้ของ PB350 ได้รับการพิจารณาปลูกอย่างกว้างขวางในมาเลเชีย และภูมิภาคอินโดจีน
ยางพาราพันธุ์ PB 350
 
 PB350 อายุ 6 ปี เปิดกรีด ที่มาเลเซีย

 
ที่มา  www.Homekaset.com

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ข้อดียางพาราพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984







ข้อดียางพาราพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984
ยางพาราพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984  หรือที่ชาวสวนยางพารารู้จักกันดีในชื่อ RRIT 408  
เป็นพันธุ์ที่เหมาะปลูกในพื้นที่ปลูกใหม่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสาน  สามารถ
ให้น้ำยางเพิ่มถึง 62% เมื่อเทียบกับพันธุ์ RRIM 600
ลักษณะเด่น คือ

ปลูกง่าย-สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ แม้ในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด เช่น ลาดชัน หน้าดินตื้น
                  ระดับน้ำใต้ดินสูง

ต้นตรง-รูปทรงลำต้นมีลักษณะตรง ขนาดสม่ำเสมอ สามารถขายเนื้อไม้ได้ราคาดีกว่า
                  พันธุ์
RRIT 251

โตเร็ว-ขนาดเส้นรอบวงลำต้นเพิ่มขึ้นต่อปี สูงกว่าพันธุ์ RRIM 600 ระหว่าง 8-15%
                  เปิดกรีดได้เร็วภายใน 5-6 ปี

ทนแล้ง-เจริญเติบโตได้ดีแม้ในพื้นที่สภาพแห้งแล้ง ได้ดีกว่าพันธุ์ RRIT 251

ต้านทานโรค-สามารถต้านทานโรคสูงกว่า RRIM 600 โดยเฉพาะราแป้ง ราสีชมพู
                          และโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอฟธอรา

น้ำยางสูง-ผลผลิตเนื้อยางแห้งสูง ค่าเฉลี่ย 329.6 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี มากกว่า
                          พันธุ์
RRIM 600
                          ที่ให้ผลผลิต 235.1 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี

 




















     

ยางพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ984 หรือ RRIT408ให้ผลผลิตดี

ยางพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ984 หรือ RRIT408 

 กรมวิชาการเกษตรโชว์ผลงานปรับปรุงพันธุ์ยางพาราพันธุ์ใหม่ "เฉลิมพระเกียรติ 984" สำเร็จ เผยศักยภาพเติบโตดี เปิดกรีดได้เร็ว ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 329.6 กก.ต่อไร่ต่อปี มากกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ 53% เร่งขยายกิ่งพันธุ์พร้อมรองรับความต้องการเกษตรกร
                นาย จิรากร โกศัยเสวี อธิบดีกรมวิชาการเกษตร บอกว่า จากการที่กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ยางพารามาอย่าง ต่อเนื่อง ทั้งพันธุ์ยางที่ให้ผลผลิตน้ำยางสูง พันธุ์ยางที่ให้เนื้อไม้สูง พันธุ์ยางที่ให้ทั้งน้ำยางและเนื้อไม้สูง มีความต้านทานโรคสำคัญ เช่น ราแป้ง ใบร่วงไฟทอปธอรา และปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมต่างๆ
               "ขณะนี้กรมประสบผลสำเร็จในการพัฒนาพันธุ์ยางพาราพันธุ์ใหม่เพิ่มอีก 1 พันธุ์แล้ว คือ ยางพาราพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984 (Chalerm Prakiat 984) ซึ่งได้รับการพิจารณาเลื่อนชั้นจากพันธุ์ยาง 2 เป็นพันธุ์ยางชั้น 1 ในคำแนะนำพันธุ์ยางปี 2554 เป็นยางที่มีศักยภาพให้ผลผลิตน้ำยางสูง คาดจะช่วยให้ชาวสวนยางพารามีโอกาสเลือกใช้พันธุ์ยางเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างมั่นคงด้วย" อธิบดีกรมวิชาการเกษตร แจง
               ทั้งนี้ ยางพาราพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984 นี้ เดิมชื่อ RRI-CH-35-1396 เกิดจากการผสมระหว่างยางแม่พันธุ์ PB5/51(มาเลเซีย) กับพ่อพันธุ์ RRIC101 (ศรี ลังกา) ที่ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา โดยทีมนักวิจัยได้คัดเลือกแล้วนำไปปลูกเปรียบพันธุ์ยางขั้นต้น และเปรียบเทียบพันธุ์ยางขั้นปลาย ทั้งยัง ประเมินระดับความต้านทานโรค เพื่อคัดเลือกต้นที่มีศักยภาพซึ่งพบว่ายางพันธุ์นี้ มีการเจริญเติบโตระยะก่อนเปิดกรีดดี มีค่าเฉลี่ยขนาดเส้นรอบวงลำต้นโตกว่าพันธุ์เปรียบ คือพันธุ์ RRIM600 ที่ 7-10% และมีค่าเฉลี่ยขนาดเส้นรอบวงที่เพิ่มแต่ละปีระหว่าง 6-8.2 สูงกว่าพันธุ์ RRIM600 ที่ 8-15% ทำให้เปิดกรีดได้เร็ว และมีจำนวนต้นยางที่เปิดกรีดได้มากตั้งแต่ปีแรกของการเปิดกรีด
              ที่สำคัญพันธุ์นี้ยังให้ผลผลิตเนื้อยางแห้งสูง โดยในพื้นที่ปลูกยางใหม่ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีค่าเฉลี่ย 8 ปี 329.6 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี มากกว่าพันธุ์ RRIM600 ที่ให้ผลผลิต 235.1 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี คิดเป็น 53 % ทั้ง เป็นพันธุ์ที่มีเปลือกหนา จำนวนวงท่อน้ำยางมาก ต้านทานโรคราแป้งและใบร่วงไฟทอปธอราในระดับปานกลาง การแตกกิ่งสมดุลในระดับสูง ทำให้ปลูกได้ในพื้นที่ลาดชันและมีระดับน้ำใต้ดินสูงอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว
               น.ส.กรรณิการ์ ธีระวัฒนะสุข นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา กรมวิชาการเกษตร หนึ่งในทีมนักปรับปรุงพันธุ์ยางพาราพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984 กล่าวเพิ่มเติมว่า <b>เบื้องต้นคาดว่าเกษตรกรที่เลือกปลูกยางพันธุ์นี้ จะได้รับผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี และทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 หมื่นบาทต่อไร่ต่อปีปัจจุบันสถาบันวิจัยยางได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยยาง ฉะเชิงเทรา ศูนย์วิจัยยางหนองคาย ศูนย์วิจัยยางสงขลา ศูนย์วิจัยยางสุราษฎร์ธานี และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรบุรีรัมย์ เร่งผลิตกิ่งตายางเพื่อส่งมอบให้เกษตรกรนำไปขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณมากขึ้น และปลูกกันแพร่หลายมากขึ้น
             ยางพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984 มีลักษณะการแตกกิ่งและทรงพุ่มที่สมดุลดีกว่าพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 251 เกษตรกรในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด เช่น พื้นที่ลาดชัน หรือพื้นที่ที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง ก็ปลูกได้ แต่เกษตรกรที่เลือกปลูกยางพันธุ์นี้ ไม่ควรใจร้อนเร่งเปิดกรีดยางต้นเล็ก หรือเปิดกรีดยางที่ไม่ได้ขนาด และไม่ควรกรีดยางถี่เกินไป เช่น กรีด 3 วันเว้นวัน จะทำให้ต้นยางเกิดอาการเปลือกแห้ง ทรุดโทรมเร็วขึ้น และมีอายุการใช้งานสั้นลงน.ส.กรรณิการ์ กล่าว



ที่มา : คม ชัด ลึก

ดัชนีชี้วัดความทนแล้งของพันธุ์ยางพารา - เกษตรทั่วไทย

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2556 เวลา 00:00 น.

สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร สนับสนุนการวิจัย “การศึกษาค่าดัชนีชี้วัดความทนแล้ง”  เพื่อนำไปใช้คัดเลือกพันธุ์ให้ได้พันธุ์ยางที่สามารถทนต่อสภาพแห้งแล้ง เป็นทางเลือกสำหรับเกษตรกรในการเลือกใช้พันธุ์ยางที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยางพาราได้
นางสาวนภาวรรณ เลขะวิพัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยางหนองคาย กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า สถาบันวิจัยยางได้มอบหมายให้นักวิชาการของศูนย์วิจัยยางหนองคายทำการศึกษา วิจัยดัชนีชี้วัดความทนแล้งของยางพารา โดยศึกษาจากลักษณะทางสรีระวิทยาและการแสดงออกของต้นยางที่เกี่ยวกับการทน แล้งเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการคัดเลือกพันธุ์ยางทนแล้ง ซึ่งถือเป็นก้าวใหม่ของการวิจัยยางพารา  ในส่วนของลักษณะทางสรีระวิทยาของพันธุ์ยางที่ศึกษา ได้แก่ ค่าชลศักย์ของน้ำในใบยาง(Leaf water potential) การชักนำการเปิด-ปิดปากใบ(Stomatal conductance) และค่าเปอร์เซ็นต์การชักนำการเกิดฟองอากาศในท่อไซเล็ม (Percent Loss of conductivity ; PLC)
เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างค่าชลศักย์ของน้ำในใบ กับ ค่าการสูญเสียความสามารถในการลำลียงน้ำของไซเล็ม และค่าการชักนำการเปิด-ปิดปากใบ จะได้ค่าที่เรียกว่า Hydraulic safety margin หรือช่วงระดับศักย์ของน้ำในใบที่เปลี่ยนแปลงไปโดยพืชยังสามารถดำเนินกิจกรรม ได้ตามปกติ
หากค่า Hydraulic safety margin ที่ได้มีค่ามาก หรือมีช่วงกว้าง แสดงว่าพืชมีการปรับตัวในสภาพแล้งด้วยการลดการคายน้ำได้ดี และมีความทนทานต่อการเกิดฟองอากาศในไซเล็มเมื่อเจอสภาวะแห้งแล้ง ซึ่งค่านี้สามารถนำมาใช้เป็นดัชนีทางสรีระวิทยาที่บ่งชี้ความทนแล้งของ ยางพาราได้
ถ้านำค่าดัชนีชี้วัดความทนแล้งมาปรับใช้ในการคัดเลือกพันธุ์ยางตั้งแต่ ต้นยางอายุ 1-2 ปี จะสามารถลดระยะเวลาการคัดเลือกพันธุ์ยางที่ทนทานต่อความแห้งแล้งลงได้อีก อย่างน้อย 7 ปี ซึ่งจะได้ทั้งพันธุ์ยางทนแล้งและให้ผลผลิตน้ำยางสูง หากศึกษาร่วมกับวิธีทางเทคโนโลยีชีวภาพถึงขั้นการทำแผนที่พันธุกรรม และได้เครื่องหมายโมเลกุลที่เกี่ยวกับการทนแล้ง ก็สามารถนำมาใช้คัดเลือกพันธุ์ยางทนแล้งและให้ผลผลิตน้ำยางสูงด้วยตั้งแต่ ยังเป็นยางต้นเล็ก ไม่ต้องรอจนถึงการกรีดให้ได้ผลผลิตครบรอบอายุยาง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการศึกษาวิจัยและคัดเลือกพันธุ์ยางได้ค่อนข้างมาก

นางสาวนภาวรรณกล่าวอีกว่า จากการศึกษาเปรียบเทียบค่าดัชนีชี้วัดความทนแล้งระหว่างยางพาราพันธุ์สถาบัน วิจัยยาง 251 (RRIT 251) กับยางพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984 (พันธุ์สถาบันวิจัยยาง 408) พบว่า ยางพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984  มีค่า Hydraulic safety margin ที่มีช่วงกว้างมากกว่า พันธุ์ RRIT 251 นั่นคือพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ  984 มีความทนทานต่อสภาวะแห้งแล้งได้ดีกว่าพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 251  ซึ่งนอกจากยางพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984 จะให้ผลผลิตน้ำยางสูงผลผลิต 8 ปีกรีดเฉลี่ยอยู่ที่ 350 กิโลกรัม/ไร่/ปี ยังเหมาะสมสำหรับปลูกในพื้นที่ปลูกยางใหม่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคเหนือ
“การศึกษาค่าดัชนีชี้วัดความทนแล้งของยางพารานี้ นับว่าเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดระยะเวลาการดำเนินงานวิจัยขั้นตอนพื้นฐาน และช่วยประหยัดงบประมาณภาครัฐในการปรับปรุงพันธุ์ยางได้ ที่สำคัญยังได้พันธุ์ยางที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งและเหมาะสมกับเขตปลูกยางใหม่  ถ้าหากนำพันธุ์ที่ได้จากการคัดเลือกให้ผลผลิตน้ำยางสูง และมีความทนแล้งมาปลูกทดแทนยางพันธุ์อาร์อาร์ไอเอ็ม600 (RRIM 600) ก็จะทำให้เกษตรกรชาวสวนยาง และ ประเทศไทยได้รับผลผลิตยางและมีรายได้จากการผลิตยางพาราเพิ่มมากขึ้น”  ผอ.ศูนย์วิจัยยางหนองคายกล่าว
หากสนใจข้อมูลเกี่ยวกับ “การศึกษาค่าดัชนีชี้วัดความทนแล้ง” สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยยางหนองคาย จังหวัดหนองคาย  โทร. 0-4242-1714 หรืออีเมล์ nrrc_nr@yahoo.com

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ขายยางตาเขียว984ราคาถูก

ประกาศ

ขายยางตาเขียวพันธุ์เฉลิมพระเกียรติหรือRRIT984  ราคา  23  บาท มีจำนวน 20,000 ต้น

โทร. 0817681231

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิธีการทำสารจับใบไว้ใช้เอง

 วิธีการทำสารจับใบไว้ใช้เอง

ปุ๋ยหรือสารเสริมต่างๆทางการเกษตรหลายตัว เราสามารถทำเองได้ และต้นทุนจะต่ำกว่าที่มีขายตามท้องตลาดประมาณ 50 เท่าตัวขึ้นไป และคุณภาพก็ไม่ต่างกัน เผลอๆที่เราทำเองอาจมีคุณภาพดีกว่า เพราะ สินค้ากลุ่มนี้ที่มีในท้องตลาด ส่วนใหญ่"ไม่มีทะเบียน""ไม่บอกวันหมดอายุ"เราจะรู้ได้อย่างไรว่าของในขวดมี คุณภาพเหมือนที่บอกไว้ในฉลาก วันนี้ขอเอาสูตรสารจับใบแบบทำเองมาฝากครับ

ส่วนผสม

1. N  70             1      กิโลกรัม(หัวเชื้อ N 70 ใช้ทำแชมพู น้้ำยาล้างจาน น้ำยาความสะอาด)
(จำหน่าย หัวเชื้อ SLES N70 คุณภาพดี จากมาเลย์ ผลิตจากปาล์ม ถนอมมือ ใช้ทำหัวเชื้อทำแชมพู ยาสระผม น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำวามสะอาด ขายปลีก และ ขายส่ง ราคากิโลกรัมละ 65-75 บาท ขึ้นอยู่ปริมาณการซื้อ บริการส่งทั่วประเทศ  ราคานี้ยังไม่รวมค่าจัดส่ง www.siamabsolute.co.th. 081-9210679)
2. เกลือป่น           1      กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด       13   ลิตร


วิธีทำ 

1.  ผสมเกลือ  1  กก. น้ำ 3 ลิตรคนให้ละลาย
2.  กวน  N70 อย่างน้อย  5  นาทีจนขึ้นนวล
3.  เติมน้ำเกลือที่เตรียมไว้  1  ลิตร กวนให้เข้าก้นจนครบ  2  ลิตร
4.  เติมน้ำสะอาดครั้งละ 1 ลิตร กวนให้เข้าก้นจนครบ 10 ลิตร กวนจนเป็นเนื้อเดียวกัน
5.  เติมน้ำเกลือส่วนที่เหลือ  1 ลิตร เพื่อปรับสภาพ

วิธีใช้ ผสมสารจับใบที่ได้ 5-10 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร

ประโยชน์

ช่วย ในการยึดเกาะพื้นผิว ทำให้น้ำยาแผ่กว้าง จับใบแล้วดูดซึมเข้าใบหรือลำต้นได้ดี และเร็วขึ้น ทำให้ละอองน้ำยามีขนาดเล็ก กระจายทั่วต้นได้ดี และแห้งเร็วกว่าปกติ เพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ย และยา ลดการสูญเสียของสารเคมี เนื่องการการชะล้างของฝนหรือน้ำ ช่วยรักษาอุปกรณ์พ่นยา ป้องกันการอุดตันของหัวฉีด 

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยางพันธุ์เฉลิมพระเกียรติ 984 หรือ RRIT 408

ประกาศสั่งจอง พันธุ์ยางเฉลิมพระเกียรติ 984 ดังนี้

1. ยางบัดดิ้งตาเขียว  ต้นละ  30  บาท
2. ยางบัดดิ้ง 1 ฉัตร    ต้นละ  60  บาท
3. ยางชำถุง 2 ฉัตร     ต้นละ  50  บาท

เงื่อนไข

1.รับยางเดือน มีนาคม-เมษายน 2557
2.มัดจำ  30  %

............สนใจโทร  0817681231

ขายสวนยางด่วนราคาถูกเขตอำเภอท่าลี่

ประกาศขายสวนยางราคาถูก เนื้อที่ 35 ไร่ ยางจะเข้าปีท่ี 5 จำนวน 1000 ต้น ปลูกปี 2555 จำนวน 800 ต้น มีสระน้ำ 1 แห่ง ถนนรอบสวนรถยนต์วิ่งรอบได้ อยู่ห่างจากทางดำ บ้านห้วยได้-ปากยาง 1800 เมตร ห่างจากบ้านโคกใหญ่-ปากยาง 10 กม. สนใจโทร 0817681231 ขายเพียง 1,200,000 บาท ยืนราคาไว้ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2556



วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

การจัดการสวนยางพารา

การจัดการสวนยางพารา

Rubber-plantationเมื่อได้ทำการปลูกยางพาราด้วยพันธุ์ยางที่เหมาะสมกับสภาวะอากาศในท้องถิ่น นั้น ๆ, ในทำเลที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของต้นยางพาราแล้ว ขั้นตอนต่อไป ก็จะเป็นการบำรุง ดูแล หรือจัดการให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตอย่างงดงาม ซึ่งงานหลัก ๆ ก็จะเป็นการควบคุม, กำจัดวัชพืช, การใส่ปุ๋ยบำรุง, การตัดแต่งกิ่ง และการระวังป้องกันเรื่องโรคและแมลงศัตรูยาง จนสวนยางได้ขนาดเปิดกรีดเพื่อเอาผลผลิตคือน้ำยางภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไป ก็จะประมาณ  6 ปี ถึง 6 ปีครึ่ง เมื่อสวนยางให้ผลผลิตแล้ว เราจะจัดการอย่างไรให้สามารถกรีดยางได้นานที่สุด, ได้น้ำยางมากที่สุด โดยมีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนต่ำสุด

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต 

เมื่อเริ่มปลูกยางพารา-1 ปี


การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระยะ 1 ปีแรกหลังจากปลูก ซึ่งสิ่งที่ต้องดูแลเป็นอันดับแรกก็คือการจัดการทุกอย่างเพื่อให้ต้นยางพารา อยู่รอด หรือให้ตายน้อยที่สุด และควรรีบทำการปลูกซ่อมทันทีที่ทำได้, กำจัดวัชพืช, ใส่ปุ๋ย, หากไม่ปลูกพืชคลุมก็ควรทำการปลูกพืชแซมยาง, ดูแลและตัดแต่งกิ่งต้นยางก่อนเข้าหน้าแล้ง และเพื่อรักษาความชื้นในดินเมื่อเข้าสู่หน้าแล้ง ก็ควรคลุมโคนต้นยาง หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ เมื่อต้นยางพาราอายุได้ 1 ปีเต็ม ต้นที่สมบูรณ์ก็จะมีขนาดความสูงไม่ต่ำกว่า 1 เมตร
  1. หลังจากปลูกแล้ว หากฝนไม่ตกหรือทิ้งช่วงนาน ก็ควรให้น้ำบ้างเท่าที่สามารถจะให้ได้
  2. เมือฝนมาครั้งแรก ต้องสำรวจดูว่า ดินในหลุมใดยุบบ้าง ให้กลบดินเพิ่ม หากไม่กลบเมื่อฝนมาครั้งที่สอง ก็จะทำให้น้ำขังบริเวณโคนต้นซึ่งจะทำให้ต้นยางพาราตายได้
  3. หลังจากฝนครั้งแรกมาแล้ว ทิ้งช่วงนาน ฝนครั้งที่สองก็ยังไม่มาไม่มา ชาวสวนยางพาราก็ต้องมาสำรวจดูว่ามีหลุมใดบ้างที่ดินรอบ ๆ ต้นยางแตกหรือแยกเป็นวง ๆ ก็ให้กลบดินเพิ่มเติมเพื่อป้องกันความชื้นระเหยออกจากหลุม ซึ่งก็อาจทำให้ต้นยางพาราเฉาหรือตายได้เช่นกัน
  4. คอยหมั่นดูแล หากพบต้นยางพาราตายต้องรีบปลูกซ่อมด้วยยางชำถุง 2 ฉัตร แต่ถ้าสวนยางมีอายุมากกว่า 2 ปีไปแล้ว ไม่ควรปลูกซ่อม แต่ถ้าต้องการปลูกซ่อมจริง ๆ ก็อาจทำได้โดยใช้ต้นยางพาราที่มีขนาดใก้ลเคียงกัน การปลูกซ่อมต้องกระทำก่อนฝนจะหมดไม่น้อยกว่า 2 เดือน
  5. ควรปลูกพืชแซมระหว่าง แถวต้นยางพาราเพื่อให้มีรายได้เสริมและเพื่อเป็นการคลุมดินไม่ให้มีวัชพืช โดยเฉพาะหญ้าคา หากปล่อยให้พื้นดินได้รับแสงแดด จะมีปัญหาในเรื่องหญ้าคาอย่างแน่นอน
  6. หากไม่ปลูกพืชแซม ก็ต้องปลูกพืชคลุมดิน เพื่อคลุมวัชพืช และยังเป็นการสร้างหรือใส่ปุ๋ยลงในดินโดยไม่ต้องขนปุ๋ย ไม่ต้องหว่านปุ๋ย พืชคลุมจะทำให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตได้ดี
  7. หากต้องการปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้ป่าร่วมยาง ก็สามารถปลูกได้ ไม่เกิน 15 ต้น/ไร่ ตามระเบียบสำนักงานกองทุนสงเคราห์การทำสวนยาง(หากท่านขอรับทุนฯ)
  8. กรณีปลูกด้วยยางชำถุง เมื่อต้นยางอายุครบ 1, 4 และ 6 เดือน ให้กำจัดวัชพืชโดยการถาก แล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็ก สูตร 20-8-20 หรือสูตรอื่น เช่น 20-10-5 หรือ 18-4-5 หรือ 19-6-5 หรือ 25-7-7 ตามอัตรา
  9. สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ซึ่งปลูกยางชำถุงอย่างเดียว เมื่อต้นยางอายุครบ 1 และ 6 เดือน ให้กำจัดวัชพืชโดยการถากแล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็กสูตร 20-10-12 ตามอัตรา โดยไม่แยกชนิดของดิน และในปีแรกนี้ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น/ปี (อาจใส่เมื่อต้นยางอายุครบ 6 เดือน)
  10. วิธีการใส่ปุ๋ย ไม่ว่าจะเป็นที่ราบ, ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันไดหรือที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยโดยโรยรอบโคนต้นในรัศมีพุ่มใบพร้อมพรวนดินกลบ หากสามารถทำได้ให้ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี หรืออาจใช้เหล็กหุนแทงลงไปในดินให้ลึกพอเหมาะ จำนวน 4 หลุม หยอดปุ๋ยลงไปแล้วกลบก็ได้เช่นกัน
  11. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  12. เมื่อต้นยางพาราอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ควรทำการตัดแต่งกิ่ง เมื่อมีการแตกกิ่งด้านข้างลำต้น ให้ใช้มีดหรือคัดเตอร์ค่อย ๆ ตัดออก ระวังอย่าให้โดนก้านใบ
  13. เมื่อสวนยางพาราเข้าสู่หน้าแล้ง ควรคลุมโคนต้นยางด้วยฟางข้าวหรือเศษวัสดุทางการเกษตรที่หาง่ายในท้องถิ่น โดยเว้นระยะจากโคนต้นยางไว้ 5-10 ซม. หากจะคลุมทั้งแถวเลยโดยคลุมเป็นแถบกว้างข้างละ 1 เมตรจากแนวต้นยาง ก็จะรักษาความชื้นในดินได้ดีกว่าคลุมเฉพาะโคนต้น แต่ต้องระวังเรื่องไฟไห้มที่อาจมาจากสาเหตุต่าง ๆ  เช่น การทิ้งก้นบุหรี่ หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ 

เมื่อยางพาราอายุ 1-2 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราเมื่อมีอายุ 1-2 ซึ่งสิ่งที่ยังมีสำคัญมากก็คือ เมื่อต้นยางตายก็ควรรีบทำการปลูกซ่อมทันทีที่ทำได้, กำจัดวัชพืช, ใส่ปุ๋ยบำรุง, หากไม่ปลูกพืชคลุมก็ควรทำการปลูกพืชแซมยาง, ดูแลและตัดแต่งกิ่งต้นยางก่อนเข้าหน้าแล้ง และเพื่อรักษาความชื้นในดินเมื่อเข้าสู่หน้าแล้ง ก็ควรคลุมโคนต้นยาง หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่าน วัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ เมื่อต้นยางพาราอายุได้ 2 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 12-16 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)
  1. คอยหมั่นดูแล หากพบต้นยางพาราตายต้องรีบปลูกซ่อมด้วยยางชำถุง 2 ฉัตร แต่ถ้าสวนยางพารามีอายุมากกว่า 2 ปีไปแล้ว ไม่ควรปลูกซ่อม แต่ถ้าต้องการปลูกซ่อมจริง ๆ ก็อาจทำได้โดยใช้ต้นยางพาราที่มีขนาดใก้ลเคียสวนยางอายุ 2 ปี ปลูกกล้วย(น้ำหว้า)เป็นพืชแซม ส่งผลให้ต้นยางโตเร็วงกัน การปลูกซ่อมต้องกระทำก่อนฝนจะหมดไม่น้อยกว่า 2 เดือน
  2. ควรปลูกพืชแซมระหว่าง แถวต้นยางพาราเพื่อให้มีรายได้เสริมและเพื่อเป็นการคลุมดินไม่ให้มีวัชพืช โดยเฉพาะหน้าคา หากปล่อยให้พื้นดินได้รับแสงแดด จะมีปัญหาในเรื่องหญ้าคาอย่างแน่นอน
  3. หากไม่ปลูกพืชแซม ก็ต้องปลูกพืชคลุมดิน เพื่อคลุมวัชพืช และยังเป็นการสร้างหรือใส่ปุ๋ยลงในดินโดยไม่ต้องขนปุ๋ย ไม่ต้องหว่านปุ๋ย พืชคลุมจะทำให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
  4. หากต้องการปลูกไม้ป่าร่วมยาง ก็สามารถปลูกได้ ไม่เกิน 15 ต้น/ไร่ ตามระเบียบสำนักงานกองทุนสงเคราห์การทำสวนยาง(หากท่านขอรับทุนฯ)
  5. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 12, 15 และ 18 เดือน ให้กำจัดวัชพืชโดยการถาก แล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็กสูตร 20-8-20 หรือสูตรใก้ลเคียง เช่น 20-10-5 หรือ 18-4-5 หรือ 19-6-5 หรือ 25-7-7 ตามอัตรา  สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ให้ใช้สูตร 20-10-12 ตามอัตรา (โดยไม่แยกชนิดของดิน)
  6. สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  7. วิธีการใส่ปุ๋ย ไม่ว่าจะเป็นที่ราบ, ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันไดหรือที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยโดยโรยรอบโคนต้นในรัศมีพุ่มใบพร้อมพรวนดิน
  8. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  9. ควรทำการตัดแต่งกิ่งเพื่อ ให้ได้ทรงพุ่มที่ดี เพื่อให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตเร็ว และได้ไม้ที่มีขนาดความยาวตามที่โรงเลื่อยไม้ต้องการ ขนาด 2.4 เมตร การตัดแต่งกิ่งควรทำก่อนที่จะหมดฝน ไม่ควรตัดแต่งกิ่งในหน้าแล้ง
  10. เมื่อสวนยางพาราเข้าหน้าแล้ง ควรคลุมโคนต้นยางด้วยฟางข้าวหรือเศษวัสดุทางการเกษตรที่หาง่ายในท้องถิ่น โดยเว้นระยะจากโคนต้นยางไว้ 5-10 ซม. หากจะคลุมทังแถวเลยโดยคลุมเป็นแถบกว้างข้างละ 1 เมตรจากแนวต้นยาง ก็จะรักษาความชื้นในดินได้ดีกว่าคลุมเฉพาะโคนต้น แต่ต้องระวังเรื่องไฟไห้มที่อาจมาจากสาเหตุต่าง ๆ  เช่น การทิ้งก้นบุหรี่ หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ

เมื่อยางพาราอายุ 2-3 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระยะ 2-3 ปี ขนาดการเจริญเติบโตของต้นยางเมื่ออายุครบ 3 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 21-27 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)
  1. เมื่อสวนยางพาราที่มีอายุมากกว่า 2 ปีไปแล้ว ไม่ควรปลูกซ่อม แต่ถ้าต้องการปลูกซ่อมจริง ๆ การปลูกพืชแซมด้วยสัปรดก่อให้เกิดรายได้งดงาม และทำให้ต้นยางเจริญเติบโตดีเนื่องจากได้รับปุ๋ยจากการใส่ให้สัปรดด้วยก็อาจทำได้โดยใช้ต้นยางพาราที่มีขนาดใก้ลเคียงกัน การปลูกซ่อมต้องกระทำก่อนฝนจะหมดไม่น้อยกว่า 2 เดือน
  2. ควรปลูกพืชแซมระหว่าง แถวต้นยางพาราเพื่อให้มีรายได้เสริมและเพื่อเป็นการคลุมดินไม่ให้มีวัชพืช โดยเฉพาะหญ้าคา หากปล่อยให้พื้นดินได้รับแสงแดด จะมีปัญหาในเรื่องหญ้าคาอย่างแน่นอน
  3. หากไม่ปลูกพืชแซม ก็ต้องปลูกพืชคลุมดิน เพื่อคลุมวัชพืช และยังเป็นการสร้างหรือใส่ปุ๋ยลงในดินโดยไม่ต้องขนปุ๋ย ไม่ต้องหว่านปุ๋ย พืชคลุมจะทำให้ต้นยางเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
  4. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 24 และ 30 เดือน ให้กำจัดวัชพืชด้วยการถาก, ไถ หรือพ่นด้วยสารเคมี(ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ) แล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็ก สูตร 20-8-20การไถสวนทำได้สำหรับสวนก่อนเปิดกรีด ถ้าเปิดกรีดแล้วไม่ควรไถ หรือสูตรใก้ลเคียง เช่น 20-10-5 หรือ 18-4-5 หรือ 19-6-5 หรือ 25-7-7 สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 20-10-12 ตามอัตรา
  5. สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  6. วิธีการใส่ปุ๋ย
    • ที่ราบ ควรใส่เป็นแถบซึ่งควรอยู่ตรงแนวทรงพุ่มต้นยางทั้ง 2 ด้าน โดยขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ
    • ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันได ควรใส่เป็นหลุมแล้วกลบ โดยขุดหลุมลึก 5-10 ซม.ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
    • ที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ควรขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ หรือใส่เป็นหลุม ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
  7. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  8. ควรทำการตัดแต่งกิ่งต้น ยางพาราเพื่อให้ได้ทรงพุ่มที่ดี เพื่อให้ต้นยางเจริญเติบโตเร็ว และได้ไม้ที่มีขนาดความยาวของเปลาตามที่โรงเลื่อยไม้ต้องการ คือเปลายาว 2.4 เมตร ฉะนัน กิ่งที่อยู่ในระดับต่ำกว่านี้จะต้องตัดออกให้หมด การตัดแต่งกิ่งควรทำก่อนที่จะหมดฝน ไม่ควรตัดแต่งกิ่งในหน้าแล้ง
  9. เมื่อสวนยางพาราเข้าสู่หน้าแล้ง ควรคลุมโคนต้นยางพาราด้วยฟางข้าวหรือเศษวัสดุทางการเกษตรที่หาง่ายในท้อง ถิ่น โดยเว้นระยะจากโคนต้นยางไว้ 5-10 ซม. หากจะคลุมทั้งแถวเลยโดยคลุมเป็นแถบกว้างข้างละ 1 เมตรจากแนวต้นยาง ก็จะรักษาความชื้นในดินได้ดีกว่าคลุมเฉพาะโคนต้น แต่ต้องระวังเรื่องไฟไห้มที่อาจมาจากสาเหตุต่าง ๆ  เช่น การทิ้งก้นบุหรี่ หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ
  10. ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด เช่น ในเขตปลูกยางพาราใหม่ เมื่อสวนยางพาราเข้าหน้าแล้ง ให้ป้องกันเปลือกหรือลำต้นยางเป็นรอยไหม้จากการถูกแสงแดดเผา ด้วยการใช้ปูนขาว 1 ส่วน ผสมน้ำ 2 ส่วน แช่หรือหมักค้างคืนไว้ 1 คืน แล้วนำมาทาลำต้นยางตั้งแต่โคนต้น ไปจนถึงที่ความสูง 1.0-1.5 เมตร โดยทาเฉาะลำต้นส่วนที่เป็นสีน้ำตาล ไม่ต้องทาลำต้นที่เป็นสีเขียว 

เมื่อยางพาราอายุ 3-4 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระหว่างปีที่ 3-4  เมื่อต้นยางพาราอายุได้ 4 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 29-37 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)

  1. หากต้องปลูกพืชคลุมดิน ก็สามารถทำได้แต่ต้องเป็นพืชคลุมชนิดซีลูเรียม ซึ่งมีความทนทานต่อสภาพร่มเงาได้ดี
  2. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 36 และ 42 เดือน ให้กำจัดวัชพืชด้วยการถาก, ไถ หรือพ่นด้วยสารเคมี(ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ) แล้วใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางเล็ก สูตร 20-8-20 หรือสูตรใก้ลเคียง เช่น 20-10-5 หรือ 18-4-5 หรือ 19-6-5 หรือ 25-7-7 สำหรับเขตปลูกยางใหม่ ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 20-10-12 ตามอัตรา
  3. สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  4. วิธีการใส่ปุ๋ย
    • ที่ราบ ควรใส่เป็นแถบซึ่งควรอยู่ตรงแนวทรงพุ่มต้นยางทั้ง 2 ด้าน โดยขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ
    • ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันได ควรใส่เป็นหลุมแล้วกลบ โดยขุดหลุมลึก 5-10 ซม.ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
    • ที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ควรขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ หรือใส่เป็นหลุม ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
  5. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  6. ควรทำการตัดแต่งกิ่งเพื่อ ให้ได้ทรงพุ่มที่ดี เพื่อให้ต้นยางเจริญเติบโตเร็ว และได้ไม้ที่มีขนาดความยาวของเปลาตามที่โรงเลื่อยไม้ต้องการ คือเปลายาว 2.4 เมตร ฉะนัน กิ่งที่อยู่ในระดับต่ำกว่านี้จะต้องตัดออกให้หมด การตัดแต่งกิ่งควรทำก่อนที่จะหมดฝน ไม่ควรตัดแต่งกิ่งในหน้าแล้ง
  7. เมื่อต้นยางพาราอายุมากกว่านี้ จะต้องกำจัดพืชแซมระหว่างแซมยางออกให้หมด
  8. ก่อนเข้าหน้าแล้ง ควรทำทางป้องกันไฟ โดยเฉพาะสวนยางพาราที่อยู่ใก้ล ๆ กับสวนยางที่กำลังโค่นใหม่(ที่อาจจะทำการเผาปรนเศษกิ่งและรากไม้)
  9. เมื่อสวนยางพาราเข้าสู่หน้าแล้ง ควรคลุมโคนต้นยางพาราด้วยฟางข้าวหรือเศษวัสดุทางการเกษตรที่หาง่ายในท้อง ถิ่น โดยเว้นระยะจากโคนต้นยางไว้ 5-10 ซม. หากสามารถราดหรือรดน้ำหมักชีวภาพผ่านวัสดุที่คลุมโคนด้วยก็จะเป็นการดีมาก ๆ
  10. ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด เช่น ในเขตปลูกยางพาราใหม่ เมื่อสวนยางพาราเข้าหน้าแล้ง ให้ป้องกันเปลือกหรือลำต้นยางเป็นรอยไหม้จากการถูกแสงแดดเผา ด้วยการใช้ปูนขาว 1 ส่วน ผสมน้ำ 2 ส่วน แช่หรือหมักค้างคืนไว้ 1 คืน แล้วนำมาทาลำต้นยางตั้งแต่โคนต้น ไปจนถึงที่ความสูง 1.0-1.5 เมตร โดยทาเฉาะลำต้นส่วนที่เป็นสีน้ำตาล ไม่ต้องทาลำต้นที่เป็นสีเขียว

เมื่อยางพาราอายุ 4-5 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระหว่างปีที่ 4-5 เมื่อต้นยางพาราอายุได้ 5 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 36-46 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)
  1. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 48 และ 54 เดือน ให้กำจัดวัชพืชในแถวต้นยางด้วยการหวดหรือตัดชิดดิน, ถาก หรือพ่นด้วยสารเคมี(ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ) ในระหว่างแถวต้นยาง ควรหวดหรือตัดชิดดิน, ไถ หรือพ่นด้วยสารเคมี 
  2. ทำการใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางใหญ่ เช่น สูตร 20-8-20 สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 20-10-12 ตามอัตรา หรืออาจใส่มากกว่าที่กำหนดก็ได้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาในหลาย ๆ ด้าน เช่น สภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน, ภาวะทางเศรษฐกิจของเจ้าของสวนยาง เป็นนต้น
  3. สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  4. วิธีการใส่ปุ๋ย
    • ที่ราบ ควรใส่เป็นแถบซึ่งควรอยู่ตรงแนวทรงพุ่มต้นยางทั้ง 2 ด้าน โดยขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ
    • ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันได ควรใส่เป็นหลุมแล้วกลบ โดยขุดหลุมลึก 5-10 ซม.ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
    • ที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ควรขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ หรือใส่เป็นหลุม ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
  5. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  6. เมื่อต้นยางพาราอายุครบ 48 เดือน ต้องกำจัดพืชแซมระหว่างแซมยางออกให้หมด
  7. ก่อนเข้าหน้าแล้ง ควรทำทางป้องกันไฟ โดยเฉพาะสวนยางพาราที่อยู่ใก้ล ๆ กับสวนยางที่กำลังโค่นใหม่ซึ่งอาจะมีการเผาปรนเศษกิ่งและรากไม้

เมื่อยางพาราอายุ 5-6 ปี 

การจัดการสวนยางพาราก่อนให้ผลผลิต หรือการบำรุงดูแลรักษาสวนยางพาราในระหว่างปีที่ 5-6 เมื่อต้นยางพาราอายุ ได้ 6 ปีเต็ม ควรมีขนาดเส้นรอบลำต้น 43-52 เซนติเมตร(ที่ความสูง 150 เซนติเมตรจากพื้นดิน)
  1. ต้นยางพารา 5 ปีครึ่ง พ้นสงเคราะห์ มีขนาดเส้นรอบต้นโดยเฉลี่ย 46 ซม.เมื่อ ต้นยางพาราอายุครบ 60 และ 66 เดือน ให้กำจัดวัชพืชในแถวต้นยางด้วยการหวดหรือตัดชิดดิน, ถาก หรือพ่นด้วยสารเคมี(ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ) ในระหว่างแถวต้นยาง ควรหวดหรือตัดชิดดิน, ไถ หรือพ่นด้วยสารเคมี
  2. ทำการใส่ปุ๋ยบำรุงสำหรับยางใหญ่ เช่น สูตร 20-8-20  สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงสูตร 20-10-12 ตามอัตรา หรือ อาจใส่มากกว่าที่กำหนดก็ได้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาในหลาย ๆ ด้าน เช่น สภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน, ภาวะทางเศรษฐกิจของเจ้าของสวนยาง เป็นนต้น
  3. สำหรับเขตปลูกยางพาราใหม่ ในปีที่ 2-6  ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี หากสามารถทำได้ให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ก่อนสัก 15-20 วัน แล้วตามด้วยปุ๋ยเคมี
  4. วิธีการใส่ปุ๋ย
    • ที่ราบ ควรใส่เป็นแถบซึ่งควรอยู่ตรงแนวทรงพุ่มต้นยางทั้ง 2 ด้าน โดยขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ
    • ที่ลาดชันที่ไม่ได้ทำขั้นบันได ควรใส่เป็นหลุมแล้วกลบ โดยขุดหลุมลึก 5-10 ซม.ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
    • ที่ลาดชันและทำขั้นบันไดแล้ว ควรขุดดินเป็นแถบหรือร่องลึก 5-10 ซม. ใส่ปุ๋ยแล้วกลบ หรือใส่เป็นหลุม ต้นละ 2 หลุมเป็นอย่างน้อย
  5. ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการใส่ปุ๋ยคือ ช่วงที่ดินมีความชื้นหรือความนุ่มพอเพียงที่จะทำการขุดได้นั่นเอง และขณะใส่ต้องไม่ใช่ช่วงที่ยอดยางกำลังผลิใบอ่อน (ต้องรอให้ยอดอ่อนกลายเป็นใบเพสลาดก่อน)
  6. หมั่นสังเกตสีของใบยางในกรณีที่อาจมีโรครากเข้าทำลาย
  7. ก่อนเข้าหน้าแล้ง ควรทำทางป้องกันไฟ โดยเฉพาะสวนยางที่อยู่ใก้ล ๆ กับสวนยางที่กำลังโค่นใหม่ซึ่งต้องทำการเผาปรนเศษกิ่งและรากไม้

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในสวนยางพาราระยะก่อนให้ผลผลิต


ปุ๋ยอินทรีย์ทำให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตเร็วเมื่อ คุณภาพดินใก้ลมาถึงทางตัน  หรือมีการใช้แต่เฉพาะปุ๋ยเคมีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนดินสูญเสียคุณสมบัติทางชีวะ, เคมี และฟิสิกส์  สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำสำหรับเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นชาวสวนยางพาราหรือเกษตก รผู้ปลูกพืชอื่น คือการหันกลับมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือใช้ธรรมชาติฟื้นฟูธรรมชาติ นั่นเอง ในดินที่มีอินทรีย์วัตถุต่ำ เช่นดินในเขตปลูกยางพาราใหม่อย่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถาบันวิจัยยางได้แนะนำให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพเพื่อเพิ่ม อินทรีย์วัตถุในดิน, ช่วยให้ดินอุ้มความชื้นได้มากขึ้น, ปรับปรุงโครงสร้างของดิน และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งจะมีผลให้ต้นยางพาราเจริญเติบโตเร็วขึ้น กว่าไม่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์
เริ่มจากในขั้นตอนการขุดหลุม-กลบดินลงหลุม นอกจากจะคลุกเคล้าปุ๋ยหินฟอสเฟต 170 กรัม/หลุม กับดินชั้นล่างแล้ว ชาวสวนยางพาราควรผสมปุ๋ยอินทรีย์ในอัตร 5 กิโลกรัม/หลุม ลงไปด้วย  หลังจากปลูกยางพาราแล้ว ก็ควรหาช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ ปีละ 1 ครั้ง โดยในปีแรกเมื่อต้นยางพาราอายุได้ 6 เดือน ก็ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ อัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น  และเมื่อต้นยางพารามีอายุย่างเข้าปีที่ 2,3,4,5 และปีที่ 6 ควรใส่ปุ๋ยปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ  อัตรา 2 กิโลกรัม/ต้น/ปี (สามารถใส่ได้มากกว่านี้แต่ควรคำนึงถึงต้นทุนด้วย)
หลักการใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ  ควรใส่ให้ปุ๋ยสัมผัสกับดิน(กระจาย)มากที่สุดเพื่อให้ปุ๋ยอินทรีย์หรือ อินทรีย์ชีวภาพมีโอกาสได้ปรับปรุงดินอย่างทั่วถึง หลังจากใส่ปุ๋ยอินทรีย์แล้ว 15-20 วัน เมื่อดินเริ่มร่วนซุย จึงตามด้วยปุ๋ยเคมีตามอัตราแนะนำ หากทำได้ตามขั้นตอนที่กล่าว(อาจเหนื่อยและใช้เวลาหน่อยน่ะ)ก็จะได้ผลต่อดิน และต่อคนอย่างคุ้มค่า
สำหรับเกษตรกรชาวสวนยางพาราในภาคใต้ แม้ว่าจะโชคดีที่พื้นที่ปลูกยางพาราเป็นดินที่มีอินทรีย์วัตถุมากกว่าทางภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ก็ยังมีพื้นที่บางส่วน บางแปลงที่มีอินทรีย์วัตถุน้อย หรือที่ดินบางแปลงที่กำลังปลูกยางพาราเป็นที่ดินที่ปลูกยางเป็นรอบที่ 2 หรือรอบที่ 3 แล้ว ดังนั้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรืออินทรีย์ชีวภาพ ก็จะช่วยให้ดินดีขึ้น ส่งผลต่อต้นยางพาราทำให้เจริญเติบโตดีกว่า การใช้แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว อย่างแน่นอน
เพื่อเป็นการลดต้นทุนและให้ได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีอินทรีย์วัตถุจริง ชาวสวนยางพาราควรผลิตปุ๋ยอินทรีย์(ชีวภาพ)เพื่อใช้เอง
 ที่มา:http://www.live-rubber.com/index.php/rubber-plantation-management/immature-rubber-stage/24-5-6-years-old


 

 

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ

น้ำหมักชีวภาพ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สสส.

          ช่วง นี้เราอาจจะได้ยินชื่อ "น้ำหมักชีวภาพ" บ่อยขึ้น ว่าแต่เพื่อน ๆ รู้จักไหมว่า จริง ๆ แล้ว "น้ำหมักชีวภาพ" คืออะไร บริโภคได้หรือไม่ แล้วเราจะทำน้ำหมักชีวภาพขึ้นมาใช้เองได้อย่างไร เอ้า...ตามมาดูกันเลย

          น้ำ หมักชีวภาพ หรือ น้ำสกัดชีวภาพ หรือ ปุ๋ยน้ำจุลินทรีย์ ตามแต่จะเรียก เป็นสารละลายเข้มข้นที่ได้จากการหมักเศษพืช หรือสัตว์ กับสารที่ให้ความหวาน จนถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการแล้วจะได้สารละลายเข้มข้นสีน้ำตาล ประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ และสารอินทรีย์หลายชนิด

          เดิมทีนั้นจุดประสงค์ของการคิดค้น "น้ำหมักชีวภาพ" ขึ้นมา เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตรโดยเฉพาะ แต่ช่วงหลังก็มีการนำน้ำหมักชีวภาพ มาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านอื่นเช่นกัน คือ

          ด้านการเกษตร น้ำ หมักชีวภาพ มีธาตุอาหารสำคัญ ทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม กำมะถัน ฯลฯ จึงสามารถนำไปเป็นปุ๋ย เร่งอัตราการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มคุณภาพของผลผลิตให้ดีขึ้น และยังสามารถใช้ไล่แมลงศัตรูพืชได้ด้วย

          ด้านปศุสัตว์ สามารถช่วยกำจัดกลิ่นเหม็น น้ำเสียจากฟาร์มสัตว์ได้ ช่วยป้องกันโรคระบาดต่าง ๆ ในสัตว์แทนการให้ยาปฏิชีวนะ ทำให้สัตว์แข็งแรง มีความต้านทานโรค ช่วยกำจัดแมลงวัน ฯลฯ

          ด้านการประมง ช่วยควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ช่วยแก้ปัญหาโรคพยาธิในน้ำ  ช่วยรักษาโรคแผลต่าง ๆ ในปลา กบ จระเข้ได้ ช่วยลดปริมาณขี้เลนในบ่อ ช่วยให้เลนไม่เน่าเหม็น สามารถนำไปผสมเป็นปุ๋ยหมักใช้กับพืชต่าง ๆ ได้ดี

          ด้านสิ่งแวดล้อม น้ำ หมักชีวภาพ สามารถช่วยบำบัดน้ำเสียจากการเกษตร ปศุสัตว์ การประมง โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน และสถานประกอบการทั่วไป แถมยังช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากกองขยะ การเลี้ยงสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสภาพอากาศที่เสียให้สดชื่น และมีสภาพดีขึ้น

         ประโยชน์ในครัวเรือน เราสามารถนำน้ำหมักชีวภาพ มาใช้ในการซักล้างทำความสะอาด แทนสบู่ ผงซักฟอก แชมพู น้ำยาล้างจาน รวมทั้งใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ ฯลฯ ได้ด้วย

          เห็น ประโยชน์ใช้สอยของ น้ำหมักชีวภาพ มากมายขนาดนี้ ชักอยากลองทำน้ำหมักชีวภาพดูเองแล้วใช่ไหมล่ะ จริง ๆ แล้ว น้ำหมักชีวภาพ มีหลายสูตรตามแต่ที่ผู้คิดค้นขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ กัน วันนี้เราก็มี วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ แบบง่าย ๆ มาฝากกันด้วย

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการเกษตร

          เราสามารถเลือกส่วนผสมจาก พืช ผลไม้สุก หรือสัตว์ อย่างหอยเชอรี่ ในการทำน้ำหมักชีวภาพ ได้

          ส่วนผสม : เราสามารถเลือกส่วนผสมจาก พืช ผลไม้สุก หรือสัตว์ อย่างหอยเชอรี่ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในการทำน้ำหมักชีวภาพ โดยสับเป็นชิ้นเล็ก 3 ส่วน, กากน้ำตาล 1 ส่วน (อาจใช้น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลทรายขาว ผสมน้ำมะพร้าว 1 ส่วนแทนได้) น้ำเปล่า 10 ส่วน

          วิธีทำ : นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้ากัน แล้วบรรจุลงในถังหมักพลาสติก หรือขวดปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่ม นานประมาณ 3 เดือน แล้วจึงสามารถนำไปใส่เป็นปุ๋ยให้พืชผักผลไม้ได้ โดย

          ใช้น้ำหมักชีวภาพ อัตราส่วน 10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อบำรุงใบพืชผักผลไม้

          ใช้น้ำหมักชีวภาพอัตราส่วน 15-20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ให้ดินร่วนซุย

          ใช้น้ำหมักชีวภาพ อัตราส่วน 1 ส่วน น้ำ 1 ส่วน เพื่อกำจัดวัชพืช

          ทั้งนี้ มีเทคนิคแนะนำว่า หากต้องการบำรุงส่วนใบพืช ก็ให้ใช้ส่วนใบยอดพืชมาหมัก หากต้องการบำรุงผล ให้ใช้ส่วนผล เช่น กล้วยน้ำว้าสุก มะละกอสุก เปลือกสับปะรด ฟักทองมาหมัก หรือหากต้องการใช้กำจัดศัตรูพืข ควรหมักสะเดา ตะไคร้หอม ข่า แยกต่างหากด้วย เมื่อจะใช้ก็นำมาผสมฉีดพ่นพืชผักผลไม้

          นอกจากนี้ หากใช้สายยางดูดเฉพาะน้ำใส ๆ จากน้ำหมักชีวภาพที่หมักได้ 3 เดือนแล้วออกมา จะเรียกส่วนนี้ว่า "หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพ" เมื่อ นำไปผสมอีกครั้ง แล้วหมักไว้ 2 เดือน จะได้หัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพอายุ 5 เดือน ซึ่งหากขยายต่ออายุทุก ๆ 2 เดือน จะได้หัวเชื้อที่อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ และประสิทธิภาพสูงมากขึ้น

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการซักล้าง

          น้ำหมักชีวภาพ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการซักล้างได้ โดยมีสูตรให้นำผลไม้ เปลือกผลไม้ (ฝักส้มป่อย , มะคำดีควาย , มะนาว ฯลฯ) 3 ส่วน น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลอ้อย 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน ใส่รวมกันในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท โดยให้เหลือช่องว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง แล้วหมั่นเปิดฝาคลายแก๊สออก โดยต้องวางไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกแสงแดด หมักไว้นาน 3 เดือน ก็จะได้น้ำหมักชีวภาพ สำหรับซักผ้า หรือล้างจานได้ ซึ่งสูตรนี้แม้ว่าผ้าจะมีราขึ้น หากนำผ้าไปแช่ทิ้งไว้ในน้ำหมักชีวภาพก็จะสามารถซักออกได้



น้ำหมักชีวภาพ

วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ


วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อดับกลิ่น

          สูตรหนึ่งของการทำน้ำหมักชีวภาพมาดับกลิ่น คือ ใช้เศษอาหาร พืชผัก ผลไม้ที่เหลือทิ้ง 3 ส่วน กากน้ำตาลหรือโมลาส 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน  ใส่รวมกันในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท โดยให้เหลือช่องว่างไว้ประมาณ 1 ใน 5 ของขวด/ถัง หมักไว้นาน 3 เดือน ก็จะได้น้ำหมักชีวภาพใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ กลิ่นปัสสาวะสุนัข ฯลฯ ได้อย่างดี

ข้อควรระวังในการใช้ น้ำหมักชีวภาพ

          1. หากใช้น้ำหมักชีวภาพกับพืช ต้องใช้ปริมาณเจือจาง เพราะหากความเข้มข้นสูงเกินไป อาจทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต และตายได้

          2. ระหว่างหมัก จะเกิดก๊าซต่าง ๆ ในภาชนะ ดังนั้นต้องหมั่นเปิดฝาออก เพื่อระบายแก๊ส แล้วปิดฝากลับให้สนิททันที

          3. หากใช้น้ำประปาในการหมัก ต้องต้มให้สุก เพื่อไล่คลอรีนออกไปก่อน เพราะคลอรีนอาจเป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก

          4. พืชบางชนิด เช่น เปลือกส้ม ไม่เหมาะในการทำน้ำหมักชีวภาพ เพราะน้ำมันที่เคลือบผิวเปลือกส้มเป็นพิษต่อจุลินทรีย์

น้ำหมักชีวภาพเพื่อการบริโภค

          เรา อาจเคยได้ยินข่าวว่า มีคนนำน้ำหมักชีวภาพมาใช้บริโภคกันด้วย ซึ่งน้ำหมักชีวภาพที่ใช้ในการบริโภค หรือ เอนไซม์ เป็นสารโปรตีน วิตามินเอ บี ซี ดี อี เค อะมิโนแอซิค(Amino acid) และ อะเซทิลโคเอ (Acetyl Coa) ที่ได้จาก หมักผลไม้นานาชนิด เมื่อหมักระยะเริ่มแรกจะเป็นแอลกอฮอล์ ระยะต่อมา เป็นน้ำส้มสายชู ซึ่งมีรสเปรี้ยว อีกระยะหนึ่งเป็นยาธาตุ มีรสขม ก่อนจะได้เป็นน้ำหมักชีวภาพ (เอ็นไซม์) ซึ่งใช้เวลาหมักขยายประมาณ 2 ปี แต่หากจะนำไปดื่มกินควรผ่านการหมักขยายเป็นเวลา 6 ปีขึ้นไป

          โดยประโยชน์จากน้ำหมักชีวภาพนั้น หากมีการนวัตกรรมการผลิตที่ดีจะส่งผลดีต่อสุขภาพของระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ทำให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น และช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ แต่น้ำหมักชีวภาพ ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด มักเป็นน้ำหมักชีวภาพที่อยู่ในสภาพเป็นแอลกอฮอล์ ดังนั้นเมื่อดื่มกินแล้วอาจมีอาการร้อนวูบวาบ มึนงง และอาจทำให้ฟันผุกร่อนได้ เพราะน้ำหมักชีวภาพ (เอนไซม์) มีสภาพเป็นกรดสูง ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มน้ำหมักชีวภาพแบบเข้มข้น

          อย่างไรก็ตาม การทำน้ำหมักชีวภาพ ที่ใช้บริโภคนั้น ยังขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ หากดื่มกินเข้าไปก็เสี่ยงต่ออันตรายได้ โดยเฉพาะมีข้อมูลจาก สวทช. ร่วมกับ อย.ที่ได้เก็บตัวอย่างของผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพที่วางขายตามท้องตลาดมาตรวจ สอบ พบว่า น้ำหมักชีวภาพเหล่านี้ แม้จะไม่มีการปนเปื้อนของโลหะ เศษไม้ เศษดิน แต่พบการปนเปื้อนของเชื้อรา ยีสต์ เมทิลแอลกอฮอล์ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทและตา โดยเฉพาะเมทานอล หรือเมธิลแอลกอฮอล์ที่ทำอันตรายต่อร่างกายได้

          ดัง นั้นแล้ว เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา รวมทั้งต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต แหล่งผลิต และบรรจุภัณฑ์หีบห่อด้วย แต่ถ้าหากจะนำ "น้ำหมักชีวภาพ" มาใช้ในครัวเรือน หรือการเกษตร ลองทำง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ก็จะปลอดภัยและประหยัดที่สุด